ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดิ่งกว่า 200 จุด น้ำมันดิบโลกปิดร่วงแรงเหลือกว่า 93 ดอลลาร์

251
0
Share:
ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดดิ่งกว่า 200 จุด น้ำมันดิบโลกปิดร่วงแรงเหลือกว่า 93 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,536 จุด -211 จุด หรือ -0.61% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,957 จุด -35 จุด หรือ -0.89% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,196 จุด -127 จุด หรือ -1.12%

ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดทะยานขึ้น +4.1%, +5.9% และ +8.1% ตามลำดับ โดยเฉพาะดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ในสัปดาห์นี้ทำสถิติเป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดในรอบ 4 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่ 24 มิถุนายนเป็นต้นมา

ในสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน ดัชนีหุ้นดาวโจนส์พุ่งกระฉูดถึง 1,201 จุด ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดพุ่งกระฉูดมากที่สุดใน 1 วันสูงสุดในรอบ 2 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 เป็นต้นมา ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 พุ่งกระฉูดมากที่สุดใน 1 วันสูงสุดในรอบ 2 ปี 5 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2020 และดัชนีหุ้นนาสแดคพุ่งกระฉูดมากที่สุดใน 1 วันสูงสุดในรอบ 2 ปี 8 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020

สาเหตุจากนักลงทุนกลับมากังวลกับการให้สัมภาษณ์ของนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด กล่าวที่ประเทศออสเตรเลียว่า นักลงทุนในตลาดทุน เช่น ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร ตลาดหุ้นกู้ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ได้ตอบสนองความคึกคักด้วยการเข้าลงทุนมากเกินความเป็นจริงหลังจากรับรู้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและขั้นพื้นฐานในเดือนตุลาคมของสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นต่ำที่สุดในรอบตั้งแต่ต้นปีนี้ ซึ่งอยู่ที่ 7.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับในปีผ่านมา

ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนตุลาคมที่ลดลงต่ำกว่าที่ตลาดการเงินคาดไว้นั้น เป็นเพียงแค่ข้อมูลจุดเดียวเท่านั้น นักลงทุนทุกคนควรจะหายใจลึกๆ และอยู่ในความสงบ ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟดยังคงต้องใช้เวลาและระยะทางอีกไกล

ตลาดทุนควรให้ความสำคัญกับเงินเฟ้อระยะสั้นสุดท้ายมากกว่าส่วนต่างหรือความแรงในการปรับขึ้นดอกเบี้ยแต่ละครั้ง ซึ่งการประชุมครั้งต่อไปในช่วงกลางเดือนธันวาคมนั้น เฟดอาจปรับขึ้น 0.5% ซึ่งไม่ใช่สัญญาณของการชะลอขึ้นดอกเบี้ยแต่อย่างใดตามที่ตลาดพยายามให้ความหมายในทิศทางนั้น ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสุดท้ายจึงยังอยู่ห่างไกลจากที่หลายคนประเมินกัน

ในสัปดาห์ผ่านไป นักลงทุนดีใจอย่างมากที่อัตราเงินเฟ้อเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นแต่ต่ำกว่าที่คาดหมายไว้มาก โดยเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นเพียง 0.4% และ 7.7% ตามลำดับจากที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% และ 7.9% ตามลำดับ สอดคล้องกับเงินเฟ้อขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% และ 6.3% ตามลำดับจากที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% และ 7.9% ตามลำดับ ส่งผลให้เป็นอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นต่ำสุดในรอบ 9 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้ ที่สำคัญ เงินเฟ้อทั่วไปยังลดต่ำลงจากเดือนกันยายนที่สูงถึง 8.2%

นอกจากนี้ ในสัปดาห์ที่แล้วอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี ร่วงลงถึง 0.3% มาอยู่ที่ระดับ 3.81% เช่นเดียวกันอายุ 2 ปี ลดลง 0.3% มาอยู่ที่ระดับ 4.32% รวมถึงดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับ 106.594 ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 2 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคมผ่านมา ส่งผลให้ในสัปดาห์นี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วง -3.8% ทำสถิติต่ำสุดนับตั้งแต่ 27 มีนาคม 2020 หรือในรอบ 2 ปี 7 เดือน นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างมากเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญ โดยดำดิ่งมากที่สุดใน 1 วันทำการที่มากสุดในรอบ 13 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา

ปัจจัยลบใหม่ได้แก่ ตลาดเงินคริปโทเคอร์เรนซีที่ตกต่ำอย่างรุนแรงต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน หลังจากไบแนนซ์แพลทฟอร์มซื้อขายเงินคริปโทเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลับลำไม่เข้าช่วยเหลือเอฟทีเอ็กซ์ ซึ่งแพลทฟอร์มซื้อขายเงินคริปโทเคอร์เรนซีที่ใหญ่สูสีกับไบแนนซ์แบะประสบวิกฤตขาดสภาพเงินสดครั้งใหญ่ ด้วยการยกเลิกแผนข้อตกลงซื้อหน่วยธุรกิจเอฟทีเอ็กซ์ที่อยู่นอกตลาดสหรัฐอเมริกา โดยให้เหตุผลว่า ต้องรอขั้นตอนการประเมินสินทรัพย์ หรือ Due Diligence ทั้งหมดก่อน ที่สำคัญ ก.ล.ต.สหรัฐอเมริกาเข้าตรวจสอบความผิดพลาดของการบริหารงานเอฟทีเอ็กซ์

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 85.87 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -3.09 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -3.47% ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 93.14 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.85 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -3.0% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐหวนกลับแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในจีนทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยมียอดติดเชื้อรายใหม่สูงสุดในรอบกว่า 6 เดือนเป็นวันที่ 6 ต่อเนื่อง และปักกิ่งติดโควิด-19 มากสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 2 วันติดต่อกัน สร้างความกังวลในภาวะเศรษฐกิจจีนที่ตกต่ำต่อไป กลุ่มโอเปกพลัสปรับลดการคาดการณ์ใช้น้ำมันดิบทั่วโลกปีนี้และปีหน้ารอบใหม่ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดิอนผ่านมา

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,775.20 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +5.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.34% ทำให้ราคาปิดขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 เดือน ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาทองคำล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 5% ทำสถิติราคาทองคำรายสัปดาห์ที่ดีที่สุดในรอบ 2 ปี 3 เดือน หรือนับตั้งแต่กรกฎาคม 2020 เป็นต้นมา

ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากนักลงทุนชั่งน้ำหนักระหว่างปัจจัยเสี่ยงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่กลับแข็งค่าขึ้นครั้งใหม่กับโอกาสการชะลอขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมช่วงกลางเดือนหน้าที่จะถึงนี้