ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดิ่งแรงกว่า 300 จุด น้ำมันดิบโลกปิดต่ำกว่า 80 ดอลลาร์

203
0
Share:
ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดดิ่งแรงกว่า 300 จุด น้ำมันดิบโลกปิดต่ำกว่า 80 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,596 จุด -350 จุด หรือ -1.03% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,941 จุด -57 จุด หรือ -1.44% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,014 จุด -225 จุด หรือ -2.00% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดำดิ่งหนัก -832 จุดใน 2 วันติดต่อกัน ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดในแดนลบถึง 4 วันทำการติดต่อกัน

สาเหตุจากนักลงทุนกังวลอย่างมากกับสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถดถอยในปี 2023 ท่ามกลางการแสดงมุมมองต่อภาวะดังกล่าวของซีอีโอจากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกจำนวนมาก เช่น ซีอีโอธนาคารเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค นายเจมี ดิม่อน กล่าวว่าเงินเฟ้อในระดับสูงจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถดถอย และจะถดถอยระดับปานกลางถึงหนักมากด้วย

ก่อนหน้านี้ดัชนีภาคบริการ หรือ ISM เดือนพฤศจิกายนในสหรัฐอเมริกา ทะยานขึ้นถึง 56.5% ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 53.7% นอกจากนี้ ยังเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนตุลาคมถึง 2.1% และยังเป็นดัชนีภาคบริการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึงเดือนที่ 30 ติดต่อกัน ด้านดัชนีการนำเข้าสหรัฐอเมริกาในเดือนเดียวกันทะยานขึ้นถึง 9.1% มาอยู่ที่ระดับ 59.5% ทั้งหมดทำให้นักลงทุนกังวลครั้งใหม่ว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจจะยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างรุนแรงในการประชุมวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้ ขณะที่ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกถูกเทขายมากกว่า 3% ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานลงหนัก

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 74.25 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.68 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -3.5% ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบปิดต่ำสุดตั้งแต่ต้นปีนี้ หรือนับตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามรัสเซียกับยูเครน ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 79.35 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -3.33 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -4% ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ที่ปิดต่ำกว่า 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปีนี้ นอกจากนี้ ส่วนต่างราคาที่ร่วงมากถึง 3.33 ดอลลาร์สหรัฐ ทำสถิติราคาตกต่ำรายวันมากที่สุดในรอบเกือบ 3 เดือน หรือตั้งแต่ปลายกันยายนเป็นต้นมา

ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ ดัชนีภาคบริการตกต่ำมากที่สุดในรอบ 7 เดือน ตามด้วยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ประกาศในวันจันทร์ผ่านมา ซึ่งล้วนปรับขึ้นสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ยังคงส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบต่อเนื่อง ได้แก่ ดัชนีภาคบริการ ตัวเลขการนำเข้า ตัวเลขการจ้างงาน ส่งผลกดดันธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจหวนกลับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นแรงกว่าที่คาดการณ์ นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกกลับแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี เพิ่มสูงขึ้นเหนือกว่า 3% กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกทั้ง 7 ประเทศ หรือกลุ่มจี 7 ประกาศการประกาศใช้มาตรการจำกัดเพดานราคาน้ำมันดิบที่ขนส่งทางทะเลจากประเทศรัสเซียที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมนี้

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,782.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +1.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ +0.1% หลังจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พบว่าทองคำล่วงหน้าปิดขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 4 เดือน หรือตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาทองคำปรับขึ้น +2.2% และยังเป็นราคาทองคำรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันด้วย

ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าในช่วงแคบๆ สอดรับกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นที่กลับมาทรงตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพฤศจิกายนในสหรัฐอเมริกาสูงกว่าที่คาดไว้มาก สร้างแรงกดดันต่อการตัดสินใจของเฟดในการประชุมการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นในวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้

ขณะนี้ ตัวชี้วัดที่เรียกว่า เฟด ฟันด์ ฟิวเจอร์ หรือโอกาศการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นที่ 0.50% ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในการประชุมวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้อยู่ที่ 75%