ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดทรุดอีกกว่า 180 จุด น้ำมันดิบโลกปิดพุ่งเหนือ 78 ดอลลาร์

143
0
Share:
ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดทรุดอีกกว่า 180 จุด น้ำมันดิบโลกปิดพุ่งเหนือ 78 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2023 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,734 จุด -187 จุด หรือ -0.55% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,398 จุด -12 จุด หรือ -0.29% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 13,660 จุด -18 จุด หรือ -0.13% ในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดลดลง -1.96%, -1.16% และ -0.92% ตามลำดับ ทำให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ในสัปดาห์นี้ ทำสถิติย่ำแย่ที่สุดในรอบ 4 เดือน หรือตั้งแต่มีนาคมผ่านมา

สาเหตุจากนักลงทุนยังคงให้น้ำหนักกับแนวโน้มสูงในการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่จะมีการประชุมในวันที่ 13-14 กรกฎาคมนี้ ถึงแม้ว่าในคืนผ่านมา ยอดการจ้างแรงงานชาวอเมริกันนอกภาคการเกษตรเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นเพียง 209,000 คน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ 240,000 คน และยังลดลงจากเดือนพฤษภาคมที่จ้างงานสูงถึง 339,000 คนก็ตาม ที่สำคัญ เป็นยอดการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบ 2 ปี 6 เดือนกว่า หรือตั้งแต่ธันวาคม 2020 สอดคล้องกับอัตราการว่างงานในเดือนเดียวกันยังคงลดต่ำลงต่อเนื่องจากเดือนพฤษภาคมมาอยู่ที่ 3.6% เป็นประวัติการณ์

ก่อนหน้านี้ในคืนวันพฤหัสบดีผ่านมา ตัวเลขการจ้างแรงงานพนักงานในภาคเอกชนสหรัฐอเมริกาเดือนมิถุนายนพุ่งทะยานถึง 497,000 คน ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 220,000 คน หรือมากกว่า 2 เท่า และยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากเดือนพฤษภาคมที่จ้างงาน 267,000 คน ส่งผลให้ยอดจ้างงานในภาคเอกชนเดือนผ่านมา ทำสถิติเพิ่มขึ้นรายเดือนมากที่สุดในรอบ 1 ปี หรือตั้งแต่กรกฎาคม 2022

ปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลครั้งใหม่กับแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่ได้รับแรงกดดันมากขึ้นจากภาวะตลาดแรงงานสหรัฐอเมริกาที่แข็งแกร่งเกินคาด รวมถึงเมื่อวานก่อนหน้านี้ การเปิดเผยบันทึกการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด พบว่ากรรมการเกือบทั้งหมดล้วนมีมุมมองในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นต่อไป

ในขณะเดียวกัน ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นอายุ 2 ปี พุ่งกระฉูดขึ้นสูงสุดในรอบ 16 ปี หรือนับตั้งแต่มิถุนายน 2007 เป็นต้นมา สะท้อนโอกาสสูงมากที่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะปรับขึ้นต่อเนื่อง

ขณะที่ตัวชี้วัดแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่เรียกว่า ซีเอ็มอีเฟดวอทช์ ทูล พบว่า มีโอกาส 92% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว 0.25% ในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งลดลงจากเดิมที่ให้น้ำหนัก 95% ในรอบ 24 ชั่วโมงผ่านมา ที่สำคัญ โอกาสลดดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในเดือนธันวาคมปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 73.86 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +2.06 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.9% ส่งผลราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ปิดเพิ่มขึ้น 4 วันติดต่อกันถึง +5.51 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาปิดสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ หรือตั้งแต่ 24 พฤษภาคมผ่านมา

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 78.47 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +1.95 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.6% ทำสถิติราคาปิดสูงสุดในรอบ 9 สัปดาห์ หรือตั้งแต่ 1 พฤษภาคมผ่านมา

ในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 แห่ง ปิดทะยานขึ้น 5%

ในปี 2022 ผ่านไปราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากนักลงทุนกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยภาวะสต๊อกน้ำมันดิบทั่วโลกตึงตัวจากการที่กลุ่มโอเปกพลัสนำโดยซาอุดีอาระเบียประกาศลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจถึงวันละ 1 ล้านบาร์เรลเพิ่มเติมในเดือนสิงหาคมหลังจากเริ่มต้นลดกำลังการผลิตวันละ 1 ล้านบาร์เรลในเดือนนี้เป็นเดือนแรก สอดคล้องกับรองนายกรัฐมนตรี รัสเซีย กล่าวว่า จะลดปริมาณการผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบไปตลาดโลกวันละ 500,000 บาร์เรล มีผลในเดือนสิงหาคมนี้ ปริมาณดังกล่าวเท่ากับ 1.5% ของปริมาณซัพพลายน้ำมันดิบตลาดโลก รวมถึงอัลจีเรียประกาศลดปริมาณการผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบไปตลาดโลกวันละ 20,000 บาร์เรล มีผลในเดือนสิงหาคมด้วย

หากซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และอัลจีเรีย ลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบตามที่ประกาศไว้ในเดือนหน้าเต็มรูปแบบ ทำให้มีปริมาณน้ำมันดิบลดลงถึงวันละ 5.35 ล้านบาร์เรล และอาจเป็นไปได้ที่จะลดลงมากกว่าตัวเลขดังกล่าว เนื่องจากประเทศสมาชิกหลายแห่งในกลุ่มโอเปกพลัสยังไม่สามารถผลิตน้ำมันดิบได้ตามโควต้าการผลิตที่กำหนดไว้

ขณะนี้ การลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกพลัสที่เริ่มต้นในเดือนนี้ ทำให้มีปริมาณน้ำมันดิบลดลงมากกว่าวันละ 5 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็น 5% ของปริมาณผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก

ธนาคารคอมเมิร์ซแบงก์ วิเคราะห์ว่า ถึงแม้จะยังไม่ถึงวันที่กลุ่มโอเปกพลัสประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบก็ตาม แต่ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ เปิดเผยว่า ตลาดน้ำมันดิบโลกจะเผชิญกับปริมาณน้ำมันดิบขาดแคลนราว 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 นี้

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังมีความกังวลกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสำคัญของโลกทั้งธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด และธนาคารกลุ่มยูโร หรืออีซีบี โดยเฉพาะตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนในสหรัฐอเมริกาที่พุ่งทะยานเกินคาดหมายถึงกว่า 2 เท่า เป็นแรงกดดันสูงมากต่อการประชุมของเฟดในกลางเดือนนี้

ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ 1,926.54 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +16.54 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.8% ขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ระดับ 1,932.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +17.10 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.9% ในสัปดาห์นี้ ราคาทองคำตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น +0.4% และเป็นสัปดาห์แรกที่ปิดเพิ่มขึ้นใน 4 สัปดาห์ผ่านมา

เมื่อกลางเดือนเมษายนผ่านไป ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาปิดสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ 2,048.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากวิกฤตธนาคารเอสวีบี และเอสบี ปิดกิจการและถูกควบคุมโดยทางการสหรัฐอเมริกา

ย้อนกลับไปในปี 2022 ผ่านไปเมื่อเดือนมีนาคม พบว่าราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.49 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์

สาเหตุจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นอายุ 10 ปี ดิ่งลงจากสถิติสูงสุดในรอบกว่า 4 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนเมษายน นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง -0.9% ทำสถิติต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือน ซึ่งเป็นผลจากตัวเลขการจ้างงานชาวอเมริกันนอกภาคการเกษตรเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นเพียง 209,000 คน ทำสถิติน้อยที่สุดในรอบ 2 ปี 6 เดือนกว่า หรือตั้งแต่ธันวาคม 2020

ในขณะที่ก่อนหน้านี้ ตัวเลขการจ้างแรงงานพนักงานในภาคเอกชนสหรัฐอเมริกาเดือนมิถุนายนพุ่งทะยานถึง 497,000 คน ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 220,000 คน หรือมากกว่า 2 เท่า และยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากเดือนพฤษภาคมที่จ้างงาน 267,000 คน

อย่างไรก็ตาม การประกาศบันทึกผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ของการประชุมในเดือนผ่านไป พบว่า กรรมการทุกคนมีมมุมมองเดียวกันที่จะปรับขึ้นมาดอกเบี้ยระยะสั้นต่อไป แต่ในแนวโน้มที่ไม่เพิ่มขึ้นสูงเหมือนช่วงผ่านมา

นักลงทุนยังคงกังวลกับการยืนยันแนวโน้มดอกเบี้ยระยะสั้นจากประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ยังต้องปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ รวมถึงประธานธนาคารกลางกลุ่มยูโรที่กล่าวว่า เงินเฟ้อในกลุ่มยูโรยังควบคุมได้ยาก จึงเลี่ยงที่จะพูดถึงรอบการสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น

ขณะนี้ ตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริการาว 0.25% ในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 92% ลดลงเล็กน้อยจากเมื่อวานนี้ที่ระดับ 95%