ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค. อยู่ที่ 50.1ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3

583
0
Share:

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนก.ค. ที่ผ่านมาว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคก.ค.อยู่ที่ 50.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในช่วงต่ำสุดในรอบ 21 ปี 10 เดือน
.
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคก.ค.ที่ปรับดีขึ้นนั้น เป็นผลจากรัฐบาลได้ดำเนินการผ่อนคลายให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้ ประกอบกับรัฐบาลออกมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งมาตรการด้านการเงินและการคลัง
.
แต่ผู้บริโภคยังมีความกังวลสูงเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและการว่างงานในอนาคตที่เกิดจากผลกระทบเชิงลบจากโควิด-19 ดังนั้นจึงคาดว่าผู้บริโภค ยังชะลอการใช้จ่ายไปจนถึงไตรมาส 4 จนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลายตัวลงและเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจอย่างกว้างขวาง พร้อมกับรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
.
รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมยังเคลื่อนไหวอยู่ต่ำกว่า 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกโดยรวมน่าจะปรับตัวเข้าสู่ภาวะถดถอยจากภาวะวิกฤติโควิด-19 ทั่วโลก
.
โดยไตรมาส 2 มองว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ในช่วงต่ำสุดแล้ว จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า และมองว่า หากไม่มีการระบาดในระลอกที่ 2 ถือว่าจุดต่ำสุดได้ผ่านพ้นมาแล้ว
.
ส่วนคณะรัฐมนตรีที่เข้ามาใหม่ จำเป็นที่จะต้องฟื้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน โดยในปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจจะติดลบถึง 9% ก่อนที่จะฟื้นตัวได้ 4-5% ในปีหน้า ซึ่งหลังจากนี้รัฐบาลจะต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและเบิกจ่ายงบค้างท่อในไตรมาส 3 และ 4 อย่างน้อยไตรมาสละ 2-3 แสนล้านบาท หรือรวมประมาณ 6 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และลดความกังวลด้านการปลดคนงาน การเลิกจ้าง โดยภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะคนตกงาน 1-2 ล้านคน
.
ส่วนปัญหาด้านการเมือง ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยมี 2 จุด ที่ต้องติดตาม คือ ความสัมพันธ์ในรัฐบาล แม้จะปรับครม.แล้วจะต้องติดตามว่าจะมีความนิ่งหรือไม่ และความสัมพันธ์กับพรรคร่วมจะมีความแน่นแฟ้นเพียงใด
.
ด้านการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในช่วงวันแม่ที่จะมาถึง มองว่า จะมีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจในช่วงวันแม่ 9,984.66 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปี โดยการใช้จ่ายในการซื้อของขวัญนั้น เช่น ให้เงินสด/ทอง พวงมาลัย/ดอกไม้ เครื่องนุ่มห่ม/รองเท้า เป็นต้น