ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ต.ค. กลับมาฟื้นตัว

607
0
Share:

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ต.ค.63 อยู่ที่ 50.9 จาก 50.2 ในเดือน ก.ย.63
.
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 43.9 จาก 42.9 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 49.0 จาก 48.2 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตเท่ากับ 59.9 จาก 59.4
.
โดยปัจจัยบวก ได้แก่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2563 คาดหดตัวน้อยลงเหลือ -7.7% จากเดิมที่คาดไว้ที่ -8.5% , ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับตัวลดลง, รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19 รวมถึงการออกมาตรการฟื้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ทั้ง “เราเที่ยวด้วยกัน” “คนละครึ่ง” และ”ช้อปดีมีคืน”, ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น ทำให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้มากขึ้น
.
ขณะที่ปัจจัยลบ ประกอบด้วยความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองเรื่องการชุมนุม, กังวลโควิด-19 ระบาด, ผู้บริโภคกังวลค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังทรงตัวในระดับสูง, กังวลเรื่องเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่า และ สหรัฐตัด GSP สินค้าไทย 231 รายการ
.
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนต.ค. ปรับตัวดีขึ้น แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศค่อนข้างมาก เนื่องจากผู้บริโภคได้รับผลทางจิตวิทยาในเชิงบวกหลังจากรัฐบาลออกมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่องหลายมาตรการ ประกอบกับราคาพืชผลเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนเพิ่มมากขึ้น
.
แต่ ม.หอการค้าไทย คาดว่าผู้บริโภคยังคงชะลอการใช้จ่ายไปอย่างน้อยจนถึงไตรมาส 4 ของปีนี้ จนกว่าสถานการณ์โควิดของโลกจะคลายตัวลง ซึ่งต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐว่าจะสามารถฟื้นเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ได้อย่างเป็นรูปธรรมได้มากน้อยเพียงใด และสถานการณ์ทางการเมืองไทยจะดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร ซึ่งปัจจัยทั้ง 2 จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตเป็นอย่างมาก
.
แต่จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านกำลังซื้อของประชาชน ทั้งในโครงการคนละครึ่ง โครงการช้อปดีมีคืน โครงการเราเที่ยวด้วยกัน รวมทั้งมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายที่อาจจะออกมาเพิ่มเติมในเฟส 2 นั้น เชื่อว่าจะเป็นตัวชี้วัดดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพ.ย. และ ธ.ค.นี้ หากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไม่เป็นอุปสรรคในเชิงลบ ประกอบกับมีปัจจัยสนับสนุนจากต่างประเทศทั้งการที่นายโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ, สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่เริ่มคลี่คลายลง
.
นอกจากนี้หากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน ในเฟส 2 ออกมาอย่างต่อเนื่องก็คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 ได้อีกราว 60,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกปีหน้ามีโอกาสกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ โดย ม.หอการค้าไทย คาดว่าจะเริ่มเห็นความเชื่อมั่นผู้บริโภคและเศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้ในไตรมาส 2 ของปี 2564