ดาวโจนส์ปิดร่วงกว่า 110 จุด น้ำมันดิบปิดลงหลุด 110 ดอลลาร์

301
0
Share:
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,174 จุด -112 จุด หรือ -0.34% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,259 จุด -18 จุด หรือ -0.43% และดัชนีหุ้นนาสแดค อยู่ที่ระดับ 13,129 จุด -125 จุด หรือ -0.95%
สาเหตุจากนักลงทุนกังวลสถานการณ์วิกฤตความรุนแรงรัสเซียและยูเครน หลังจากการเจรจาระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้ง 2 ฝ่ายที่ตุรกีประสบกับความล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นการหยุดยิงชั่วคราว และการอพยพพลเรือน ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ในสหรัฐอเมริกาพุ่งทะยานถึง 7.9% ไม่เพียงทำสถิติเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 40 ปี แต่ยังสูงกว่าที่คาดหมายไว้ที่ 7.8% สร้างแรงกดดันต่อการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในต้นสัปดาห์หน้า นอกจากนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นอายุ 10 ปี กลับมาพุ่งขึ้นเหนือ 2% ครั้งใหม่ นับตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ผ่านมา
ตลาดซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 106.02 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.68 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -2.5% เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐ ดำดิ่งหนักถึง 15 ดอลลาร์ ทำสถิติราคาปิดตกต่ำและเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 4 เดือน หรือนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2564 ก่อนหน้านี้ ในช่วงต้นสัปดาห์ มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน
ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 109.33 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -1.81 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -1.6% เมื่อวานนี้วันที่ 9 มีนาคม ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาร่วงระนาว -16.80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -13.00% ทำสถิติราคาปิดตกต่ำมากที่สุดใน 1 วันทำการในรอบ 1 ปี 11 เดือน หรือนับตั้งแต่เมษายน ปี 2020 ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
สาเหตุจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโจ ไบเดน อาจเปิดเจรจากับเวเนซุเอลาเพื่อผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันดิบ ทำให้เวเนซุเอลาสามารถกลับมาส่งออกน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดโลก เช่นเดียวกันกับแนวโน้มที่จะเร่งเจรจากับอิหร่านให้นำไปสู่การกลับมาผลิตน้ำมันดิบเพื่อป้อนตลาดโลก โดยเมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศมาตรการคว่ำบาตรพลังงานกับรัสเซีย ได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน นอกจากนี้ อิรักเปิดเผยว่าพร้อมจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบหากกลุ่มโอเปกพลัสร้องขอมา เช่นเดียวกันกับประเทศสหรัฐ อาหรับ เอมิเรตส์ ซึ่งได้รับการเปิดเผยจากรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ประเทศยูเออีพร้อมเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบเข้าสนับสนุนตลาดโลก
ด้านสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือ IEA เปิดเผยว่า เตรียมที่จะให้สมาชิกเพิ่มการปล่อยน้ำดิบเพิ่มเติมเข้าสู่ตลาดโลกหลังจากในสัปดาห์ที่ผ่านไป IEA กล่าวว่า ได้ให้ประเทศสมาชิกปล่อยน้ำมันดิบปริมาณ 60 ล้านบาร์เรลเข้าสู่ตลาดโลกแล้ว
ทั้งนี้ เฉพาะในเดือนมีนาคม ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐ มีราคาพุ่งทะยาน 15% จากผลกระทบของวิกฤตสงครามรัสเซีย และมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของนานาชาติที่มีต่อรัสเซีย
ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 2,000.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +12.20 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.6% ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน
สาเหตุจากนักลงทุนยังคงให้ความสำคัญกับสถานการณ์วิกฤตรุนแรงของรัสเซียกับยูเครน หลังจากการเจรจาต่อรองของรัฐมนตรีต่างประเทศทั้ง 2 ประเทศ แทบไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด เมื่อวานนี้นักลงทุนแห่เทขายทำกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ทุกประเภท เช่น นิเกิล ไททาเนียม พับลาเดียม ทองแดง และ
ทองคำ หลังจากทั้งหมดมีราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และทำสถิติในรอบกว่า 1 ปี นอกจากนี้ นักลงทุนโยกเข้าลงทุนในตลาดหุ้นอย่างรวดเร็วเพื่อชดเชยราคาที่ตกต่ำอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดีดแข็งค่า รวมถึงผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นอายุ 10 ปี กลับมาปิดเหนือ 2%