ทำไมต้องรออีก 2 ปี คนไทยถึงจะมีรายได้ทั้งครอบครัวกลับมาเหมือนเดิม

387
0
Share:

ศูนย์วิจัย ttb analytics เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีความเสี่ยงมาก เนื่องจากการแพร่ระบาดจากโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอมิครอนและมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่ยังส่งผลกดดันต่อการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศอยู่ด้วย ประกอบกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่เกิดขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งตัว และเศรษฐกิจไทยในระยะเวลาข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงยังคงระมัดระวังการจ้างงานใหม่ และหากจำเป็นต้องจ้างแรงงานเพิ่มเติมจะเป็นการจ้างงานชั่วคราวมากกว่าประจำ เพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนและปรับจำนวนการจ้างงานได้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจัยข้างต้นส่งผลให้รายได้ภาคครัวเรือนของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากผ่านจุดต่ำสุดของวิกฤตโควิด-19 แต่ยังมีความเปราะบางอยู่ สะท้อนได้จากภาวะการจ้างงานที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำโดยเฉพาะการจ้างงานที่เกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยว โดยภาพรวมอาจต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 2 ปีกว่าระดับรายได้นอกภาคการเกษตรจะฟื้นตัวกลับมาถึงช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19

ส่วนการจ้างงานในภาคเกษตรแม้ยังมีอยู่มาก แต่มาจากพวกแรงงานย้ายกลับถิ่นหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 ประกอบกับการผลิตในภาคเกษตรที่ค่อนข้างน้อย จึงสร้างรายได้ให้แก่แรงงานต่ำกว่าเศรษฐกิจประเภทอื่น ๆ อยู่มาก

เมื่อวิเคราะห์แนวโน้มรายได้ครัวเรือน จากผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (ข้อมูลจาก SES: Socio-Economic Survey) พบว่าในปี 2564 ครัวเรือนไทยมีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ยราว 23,500 บาท ซึ่งเมื่อหักรายได้ที่ไม่เป็นตัวเงินออกไป อาทิ เงินอุดหนุนจากรัฐบาล ในปี 2565 รายได้ครัวเรือนจะมีแนวโน้มขยายตัวตามทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับภาวะการจ้างงานโดยรวมที่ยังคงเปราะบาง ส่งผลให้ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยจะมีรายได้ต่ำกว่านี้มาก และรายได้อาจมีความไม่แน่นอนสูง ด้วยเหตุนี้ รายได้ของครัวเรือนไทยโดยภาพรวมจึงยังมีความเปราะบาง และไม่สามารถรองรับปัจจัยที่ไม่คาดคิดได้มากนัก

ขณะเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกหลังเกิดวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารสดที่กำลังสะท้อนถึงการเข้าสู่วิกฤตอาหารทั่วโลก ได้ส่งผลให้ระดับราคาสินค้าในประเทศไทยในหมวดดังกล่าวปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้นทุนค่าครองชีพที่แพงขึ้นถือเป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติมต่อกำลังซื้อของครัวเรือนไทยในทุกกลุ่ม และลดทอนความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนด้วย โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยที่มีสัดส่วนการบริโภคอาหารสดและเชื้อเพลิงสำหรับใช้ในบ้านและการเดินทางในระดับสูง ซึ่งมีการปรับราคาเร่งตัวมากที่ราว 15-16% จากระยะเดียวกันปี 2564 เมื่อเปรียบเทียบกับราคาสินค้าในหมวดอื่น

ดังนั้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินว่า สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ของครัวเรือนไทยในกลุ่มที่มีรายได้รวม 25,000-50,000 บาทต่อเดือน จะเพิ่มขึ้นจาก 68% ในปี 2564 มาอยู่ที่ราว 75% ในปี 2565 นี้ สำหรับครัวเรือนกลุ่มที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 15,000-25,000 บาท จะเพิ่มขึ้นจาก 80% มาอยู่ที่ 87% และครัวเรือนกลุ่มรายได้รวม 15,000 บาท จะเพิ่มขึ้นจาก 90% เป็น 98%