ทิสโก้ แนะซื้อหุ้น 4 ธีมน่าลงทุน เน้นกลุ่มรายได้-กำไรมีโอกาสเติบโตในระยะยาวรับมือเฟด

308
0
Share:
ทิสโก้ แนะซื้อ หุ้น 4 ธีมน่าลงทุน เน้นกลุ่มรายได้-กำไรมีโอกาสเติบโตในระยะยาวรับมือเฟด

จากแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง และการคงดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐก็เริ่มส่งสัญญาณหดตัวเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งส่วนต่างระหว่างพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวอายุ 10 ปี และระยะสั้น 2 ปี ซึ่งสามารถสะท้อนถึงการเกิดเศรษฐกิจถดถอยได้ส่งสัญญาณเตือนมาตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าจากความชัดเจนดังกล่าว ธนาคารทิสโก้ยังคงย้ำให้ลูกค้าอาศัยจังหวะที่หุ้นย่อตัวเข้าลงทุนใน 2 ธีมลงทุนที่ยังเติบโตได้ในระยะยาวสวนทางการเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ดังที่เคยแนะนำไปก่อนหน้านี้ คือ1.หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ เช่น ไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) และดิจิทัลเฮลธ์แคร์ (Digital Healthcare) 2.หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เช่น คลาวด์ คอมพิวติง (Cloud Computing) ไซเบอร์ ซีเคียวริตี้ (Cyber Security) และเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor)

และในช่วงที่เหลือของปีธนาคารทิสโก้ยังแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน 2 ธีมเพิ่มเติม คือ 1.หุ้นกลุ่มดาวเด่นแห่งเอเชีย (The Rising Star of Asia) ที่เศรษฐกิจเติบโตสูงสวนกระแสเศรษฐกิจถดถอยในฝั่งตะวันตก ได้แก่ จีน อินโดนีเซีย ,เวียดนาม และ 2.หุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน (Renewable Energy)

สำหรับปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มดาวเด่นแห่งเอเชียนั้น ได้แก่การที่รัฐบาลจีนกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1 ล้านล้านหยวน และธนาคารกลางจีน (PBoC) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.10% โดยมีเป้าหมายให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัว 5.5% นอกจากนี้ ในวันที่ 16 ตุลาคม 2565 จะมีการประชุมใหญ่ครบรอบ 20 ปีพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งจากสถิติในอดีตนับตั้งแต่ช่วงปี 2540 ตลาดหุ้นจีน (MSCI China Index) มักจะสร้างผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณ 20% ในช่วงก่อนที่จะถึงการประชุม ยิ่งช่วงนี้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงมาก็เป็นจังหวะที่น่าเข้าลงทุน

โดยธนาคารทิสโก้แนะนำลงทุนคือ กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) กลุ่มอุปโภคบริโภค (Consumption) กลุ่มธุรกิจไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) กลุ่มธุรกิจสารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) และกลุ่มพลังงานสะอาด (Clean Technology) เพราะรัฐบาลจีนยังสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเกี่ยวกับอินโดนีเซีย ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า GDP ของอินโดนีเซียปี 2565 จะเติบโตสูงถึง 5.4% และปี 2566 เติบโต 6% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การส่งออกทรัพยากรธรรมชาติ ประกอบกับอินโดนีเซียมีประชากรกว่า 272.25 ล้านคน โดยกว่า 51% ของประชากรอยู่ในวัยแรงงาน รายได้กำลังเพิ่มขึ้น ทำให้การบริโภคภายในประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อีกทั้งยังคาดว่า กำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปี 2565 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอินโดนีเซียจะเติบโตถึง 57.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ขณะที่มูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นอินโดนีเซียซื้อขายอยู่ในระดับไม่สูง โดยมีระดับ Forward P/E 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 16.4 เท่า ถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 5 ปีซึ่งอยู่ที่ระดับ 17 เท่า (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ 31 ส.ค. 65)

รวมทั้งเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตได้อย่างโดดเด่น โดย IMF คาดว่า ปี 2565 GDP เวียดนามจะเติบโตได้ถึง 6% ในปี และปี 2566 จะเติบโต 7.2% มีปัจจัยสนับสนุน คือ การบริโภคภายในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวตามรายได้ของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น จากจำนวนประชากรมากถึง 99 ล้านคน ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนปัจจัยด้านค่าแรงที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้เวียดนามกำลังเป็นโรงงานการผลิตแห่งใหม่ของโลกต่อจากจีนจากตัวเลข FDI ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงยังมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) มากที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ในแง่การลงทุน Valuation ของตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงมาอยู่ในระดับน่าสนใจมีระดับ Forward P/E 12 เดือนข้างหน้าที่ 11.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 15.8 เท่า ขณะที่คาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS growth) ของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตสูงถึง 15% YoY (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ 31 ส.ค. 65)

ส่วนปัจจัยสนับสนุนหุ้นกลุ่มกลุ่มพลังงานสะอาด (Renewable Energy) ที่น่าลงทุนนั้น เป็นผลมาจากความขัดแย้งของสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ ทำให้เกิดการขาดแคลนทางพลังงานโดยเฉพาะทางฝั่งยุโรป หลายประเทศจึงเริ่มตระหนักถึงความสำคัญลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น