ทุบหุ้นเกลี้ยง! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดำดิ่งกว่า 300 จุด น้ำมันดิบโลกปิดหลุด 72 ดอลลาร์

192
0
Share:
ทุบหุ้นเกลี้ยง! ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดดำดิ่งกว่า 300 จุด น้ำมันดิบโลกปิดหลุด 72 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 33,476 จุด -305 จุด หรือ -0.90% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,934 จุด -29 จุด หรือ -0.73% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,004 จุด -77 จุด หรือ -0.70% ในสัปดาห์นี้ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดลดลง -2.77%, -3.37% และ -3.99% ตามลำดับ ทำให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์รายสัปดาห์ปิดต่ำสุดในรอบ 2 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่กันยายนผ่านมา

สาเหตุจากตัวเลขเงินเฟ้อผู้ผลิตทั่วไปเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นเกินกว่าที่คาดไว้ โดยขยับขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม และเพิ่มขึ้นแตะ 7.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา ขณะที่เงินเฟ้อผู้ผลิตขั้นพื้นฐาน ซึ่งไม่รับรวมราคาพลังงานและราคาอาหารในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นถึง 0.4% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ที่ 0.2% ส่งผลให้นักลงทุนกังวลกับแรงกดดันปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ด้านนายอีลอน มัสค์ ซีอีโอเทสลา อินคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะถดถอยมากขึ้นจากผลการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟด

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 71.02 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.44 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.7% ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบปิดต่ำสุดตั้งแต่ต้นปีนี้ หรือนับตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามรัสเซียกับยูเครน ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 76.10 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.05 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.1% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่ง ปิดลดลง -10% ทำสถิติราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่ตกต่ำมากที่สุดในรอบ 7 เดือนครึ่งหรือตั้งแต่เมษายน และในรอบ 3 เดือนครึ่งหรือตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม ตามลำดับ

สาเหตุจากนักลงทุนยังคงให้น้ำหนักกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวถึงเข้าสู่ภาวะถดถอย ตัวเลขเศรษฐกิจจีนแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ ดัชนีภาคบริการตกต่ำมากที่สุดในรอบ 7 เดือน ตามด้วยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ประกาศในวันจันทร์ผ่านมา ซึ่งล้วนปรับขึ้นสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ยังคงส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบต่อเนื่อง ได้แก่ ดัชนีภาคบริการ ตัวเลขการนำเข้า ตัวเลขการจ้างงาน ส่งผลกดดันธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจหวนกลับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นแรงกว่าที่คาดการณ์ นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกกลับแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี เพิ่มสูงขึ้นเหนือกว่า 3% กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกทั้ง 7 ประเทศ หรือกลุ่มจี 7 ประกาศการประกาศใช้มาตรการจำกัดเพดานราคาน้ำมันดิบที่ขนส่งทางทะเลจากประเทศรัสเซียที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมนี้

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,808.10 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +6.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ +0.37% ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง สอดรับกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นที่กลับมาลดลง ขณะนี้ ตัวชี้วัดที่เรียกว่า เฟด ฟันด์ ฟิวเจอร์ หรือโอกาศการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นที่ 0.50% ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในการประชุมวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้อยู่ที่ 75%