ธุรกิจหัตถการเสริมความงามในไทยแรงไม่แผ่ว รับทิศทางธุรกิจการแพทย์และความงามคาดโตเฉลี่ย 16.6%

181
0
Share:
ธุรกิจหัตถการ เสริมความงาม ในไทยแรงไม่แผ่ว รับทิศทางธุรกิจการแพทย์และความงามคาดโตเฉลี่ย 16.6%

เนื่องในโอกาสก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย เปิดเผยว่าในปี 2567 นี้ บริษัทฯ มาพร้อมกับแผนกลยุทธ์ธุรกิจ ภายใต้แนวคิด พลังแห่งความมั่นใจ (The Power of Confidence) วางแผนเดินหน้าเป็นผู้นำสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้าและผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าไปที่ผลักดันสร้างความมั่นใจในสังคมไทย เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญอยู่ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

1. Build Business with Confidence ก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจหัตถการเสริมความงามอย่างมั่นใจ
ในปี 2566 ที่ผ่านมา เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ยังคงสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าและผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความสำเร็จในการเป็นผู้นำธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม ด้วยยอดขายทะลุเป้า 2,000 ล้านบาท หรือเติบโตอย่างโดดเด่นเหนือกว่าทิศทางตลาดแบบ Double Digit ที่ 30% และมีการเติบโตของยอดขายนวัตกรรมชูโรงอย่าง เครื่องอัลเทอร่ามากกว่า 600 เครื่อง ใน 46 จังหวัดทั่วประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นผู้นำเทรนด์ความงามแบบ ‘skin quality’ ด้วยการเปิดตัวฟิลเลอร์งานผิวเนื้อละเอียด พร้อมเสริมทัพด้วยนวัตกรรมตัวล่าสุด ได้แก่ สารฉีดกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ Regenerative Biostimulator ทั้งนี้ ล้วนเป็นความสำเร็จที่สอดรับกับทิศทางของธุรกิจการแพทย์และความงามที่ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใสสะท้อนผ่านตัวเลขการเติบโตเฉลี่ย 16.6% ต่อปีจนถึงปี 2570

ขณะเดียวกันเมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ยังคงส่งเสริมการเติบโตและสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าอย่างสม่ำเสมอ บนมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้าและบริการ โดยตลอดทั้งปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มุ่งมั่นให้ความสำคัญกับการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และมีส่วนร่วมในงานวิจัยและการพัฒนาเพื่อต่อยอดนวัตกรรมเสริมความงาม และมีบทบาทในอีเวนต์สำคัญ อาทิ เป็นเจ้าภาพจัดงานเสวนา “Science Behind Confidence” โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องความงามที่ควรมาพร้อมกับความปลอดภัย และการเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญในการจัดงาน DASIL World Congress ครั้งที่ 11 เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูล และเทคนิคการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อนำมาสู่เทรนด์ความงามยุคใหม่ที่ประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยสำหรับทุกคน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังดำเนินกลยุทธ์เน้นไปที่การอัปเดตเทรนด์ความรู้และนวัตกรรมเสริมความงามยุคใหม่ผ่านกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับคลินิกเสริมความงามชั้นนำทั่วประเทศ ได้แก่ การจัด In-Clinic Clinical Training เพื่อเสริมทักษะแก่แพทย์ผู้ทำหัตถการความงามมากกว่า 500 เซสชั่น ืจัดเวิร์กชอปและงานประชุมทางวิชาการ (Symposium) 30 งาน โดยมีแพทย์ความงามเข้าร่วมกว่า 2,000 คน การจัด Commercial Training อัปสกิลส่งเสริมการขายให้กับบุคลากรและพนักงานในคลินิกเสริมความงามกว่า 30 เซสชั่น รวม 800 คน

เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ยังได้หยิบจับศาสตร์ด้านความงามสื่อสารต่อไปยังผู้บริโภคในรูปแบบที่แปลกใหม่และย่อยง่าย เพื่อให้ผู้บริโภคได้ความรู้ เข้าถึงการใช้งานนวัตกรรมเสริมความงามได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยจัดงานระดับ Expo ครั้งแรกในชื่อว่า Merz Aesthetic Expo: Haus of Confidence ดึงดูดผู้บริโภคด้วยกิจกรรมรูปแบบ Edutainment และประสบความสำเร็จด้วยยอดผู้เข้าชมสูงถึง 6,600 คนตลอด 5 วัน โดย Merz Aesthetic Expo จะกลับมาสร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่อีกครั้งภายใน 2 ปีข้างหน้า

2. Blend Sustainable Work with Confidence ก้าวสู่องค์กรใส่ใจโลกกับโครงการสร้างความยั่งยืน
ในปี 2567 เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทยมุ่งสร้างองค์กรที่ใส่ใจในความยั่งยืนไปสู่ชุมชนและสังคม ริเริ่มที่จะพัฒนาแนวคิดและโครงการด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมร่วมกับคู่ค้าคลินิกและคนในองค์กรไปพร้อมๆ กัน เริ่มต้นจากการผลักดันโครงการจัดการขยะและการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์เสริมความงามและอุปกรณ์อย่างถูกวิธี ภายใต้ชื่อว่า
“Merz Aesthetics Zero Waste”

3. Bring Self-Confidence Insight to Life เผยดัชนีชี้วัดความมั่นใจในตนเองของคนไทย ต่อยอดพันธกิจองค์กร
ในปีนี้ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ประกาศจัดทำดัชนีชี้วัดความมั่นใจในตนเองของคนไทย “Self-Confidence Index” เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเจาะลึกอินไซด์ของผู้บริโภคในด้านความมั่นใจและต่อยอดสู่แคมเปญการสื่อสารที่ยั่งยืน ซึ่งได้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์ อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเป็นที่ปรึกษาดูแลการวิจัยในภาพรวม

โดยจากการสำรวจผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มประชาชนทั่วไป 1,000 ราย เผยว่าคนไทยมีระดับความมั่นใจในตนเองเฉลี่ยอยู่ที่ 84% และทุกๆ เจนเนอเรชันมีระดับความมั่นใจในตนเองที่แตกต่างกันออกไป

ทั้งนี้ จากช่องว่างของระดับคะแนนความมั่นใจจึงเปิดโอกาสให้ บริษัทฯ เดินหน้าผลักดันธุรกิจหัตถการความงาม โดยเชื่อว่าการเข้ารับบริการเสริมความงามจะเพิ่มความมั่นใจให้คนไทยอย่างยั่งยืน สะท้อนจากอินไซต์ของผลสำรวจที่พบว่า คนไทยมีคะแนนความมั่นใจในตนเองเฉลี่ยสูงถึง 91% ภายหลังจากเข้ารับบริการหัตถการความงาม และคนไทยส่วนใหญ่ยอมรับว่า การทำหัตถการความงาม เป็นหนึ่งในทางเลือกที่สำคัญ สำหรับเสริมความมั่นใจให้ตัวเองได้ เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความกังวลต่างๆ ที่มีต่อผิวพรรณและรูปร่างตนเองได้ในเวลาอันสั้น ช่วยให้ตนเองโฟกัสชีวิตตัวเองในด้านอื่นๆ ได้อย่างสบายใจ