นักลงทุนต่างชาติขายสินทรัพย์ไทย สัปดาห์ที่ผ่านมาร่วงต่ำสุดในรอบ 3 ปี คาดกดเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง

187
0
Share:
นักลงทุนต่างชาติขายสินทรัพย์ไทย สัปดาห์ที่ผ่านมาร่วงต่ำสุดในรอบ 3 ปี คาดกด เงินบาท อ่อนค่าต่อเนื่อง

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เงินบาทเคยเป็นค่าเงินที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่เอเชียในไตรมาส 4/2566 ก่อนจะกลายเป็นค่าเงินที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดในปีนี้ เนื่องจากกองทุนทั่วโลกเทขายสินทรัพย์ไทยท่ามกลางการโต้แย้งกันระหว่างรัฐบาลไทยกับธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศที่อ่อนแอลง

สกุลเงินบาทไทยมีแนวโน้มเผชิญเดือน ม.ค. ที่อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 โดยร่วงลงไปแล้วเกือบ 4% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และภาวะเงินไหลออกอย่างหนักหน่วงส่งสัญญาณว่าเงินบาทจะอ่อนค่าเพิ่ม

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของไทยระบุในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลไทยวิตกกังวลว่าต้นทุนการกู้ยืมเงินที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีจะฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยปฏิเสธข้อเรียกร้องเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยให้เหตุผลว่า การลดต้นทุนการกู้ยืมเงินนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในเศรษฐกิจไทยได้

นายอัลวิน ถาน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ปริวรรตเงินตราเอเชียของบริษัทอาร์บีซี แคปิตอล มาร์เก็ตส์ (RBC Capital Markets) ในสิงคโปร์ระบุว่าเงินบาทจะได้รับผลกระทบจากการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองเกี่ยวกับระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่า ดอลลาร์สหรัฐ-บาทไทยจะซื้อขายในกรอบ 36.0-36.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หลังปิดที่ 35.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมา

นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยสุทธิรวมแล้ว 808 ดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ขณะที่ ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีในสัปดาห์ที่ผ่านมาท่ามกลางความวิตกกังวล ขณะเดียวกัน ตราสารหนี้ของไทยก็ไม่น่าดึงดูดเช่นเดียวกัน เนื่องจากตลาดตราสารหนี้ของไทยเผชิญภาวะเงินไหลออกหลังมีการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้และข่าวอื้อฉาวเรื่องการตรวจสอบบัญชีครั้งใหญ่สั่นคลอนความเชื่อมั่นนักลงทุน

รายงานระบุว่า บรรดาเทรดเดอร์จะจับตาข้อมูลในวันพุธที่ 31 ม.ค. เพื่อพิจารณาว่าดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ธ.ค. ของไทยดีขึ้นหรือไม่ หลังขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 1.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนพ.ย. โดยก่อนหน้านี้ไทยได้ให้สิทธิวีซ่าฟรีแก่นักเดินทางชาวจีนเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว

“ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นของไทยถือเป็นปัจจัยบวกต่อค่าเงินบาท แต่การใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวและยอดนักท่องเที่ยวจีนในปี 2566 นั้นยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโรคโควิด-19 ระบาด” นายนิโคลาส เชีย นักกลยุทธ์มหภาคของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด แบงก์ เอสจี จำกัด ระบุ

ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ และความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าช้าถือเป็นอีกปัจจัยลบสำหรับค่าเงินบาท เนื่องจากเหล่าเทรดเดอร์เริ่มเปลี่ยนมาคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน พ.ค.ปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน มี.ค. ซึ่งกรณีดังกล่าวหนุนให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น