บรรยงเผยเหตุรัฐบาลตีปี๊บโชว์ผลงานเศรษฐกิจ 4 ปีผ่านมา แต่สวนทางผลการเลือกตั้ง

224
0
Share:
บรรยงเผยเหตุ รัฐบาล ตีปี๊บโชว์ผลงาน เศรษฐกิจ 4 ปีผ่านมา แต่สวนทางผลการเลือกตั้ง

นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2566 มีดังนี้

ลองกลับไปอ่านใหม่แล้วจะเข้าใจนะครับ…ว่าทั้งๆ ที่ลุงๆ พยายามอวดโชว์ผลงานสุดชีวิต…ทำไมผลเลือกตั้งมันถึงออกมาอย่างนี้…ทำไมยังไงชนชั้นบน ชั้นนายทุน เขาถึงไม่ยอมให้ฟากใหม่ตั้งรัฐบาลได้…ทำไมยังไงๆ เขาก็ต้องดันทีมลุงให้กลับมาใหม่…ขอไปสวดมนต์ต่อนะครับ

Where’s the people’s cheese?
ความเจริญมันหายไปไหนวะ?……21 สิงหาคม 2561

เห็นข่าวช่วงนี้แล้วเลยทำให้เข้าใจเลยว่า….ทำไมในขณะที่รัฐบาล ทั้งตัวนายกฯ ทั้งคณะทีมเศรษฐกิจ ต่างตีฆ้องร้องป่าวประกาศผลงานรัฐบาล ว่าที่ทุ่มเทมาตลอด 4 ปี สามารถฉุดอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ จากต่ำเตี้ยเรี่ยดินขึ้นมาได้ จนครึ่งปีแรก GDP เติบโตได้ตั้ง 4.8% แล้วทำท่าว่าจะยั่งยืนไปได้ทั้งปี …แต่ในขณะเดียวกัน ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชาวรากหญ้า ชาวบ้านร้านตลาด และคนหากินตัวเล็กตัวน้อยจึงยังไม่รู้สึกดีขึ้นด้วยเลย แถมหลายภาคส่วนรู้สึกแย่ลงด้วยซ้ำ

ส่วนพวกชาวหุ้น พวกนายทุนต่างก็ดีใจกันทั่วหน้า ที่ครึ่งปีแรกนี้ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มีกำไรรวมกันถึง 5.5 แสนล้านบาท มีอัตราเติบโตถึง 20% เทียบกับกำไรในช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจภาคตลาดหุ้นและภาคบรรษัททั้งหลายก็น่าจะดีอย่างเขาว่าจริงๆ ซึ่งถ้าตามสถิติเดิม กำไรในตลาดหุ้น จะมีสัดส่วนประมาณหนึ่งในสี่ของกำไรนิติบุคคลในประเทศไทยทั้งหมด และถ้าเราเชื่อว่ากำไรเฉลี่ยของบริษัทนอกตลาดเป็นไปในทิศทางเดียวกับบริษัทในตลาด ก็จะคาดได้เลยว่าปีนี้นิติบุคคลน่าจะมีกำไรรวมกันสุทธิหลังภาษีประมาณ 4.5 ล้านๆ บาท เท่ากับประมาณ 30% ของรายได้ประชาชาติ (GDP รวมประมาณ 15 ล้านๆ บาท) ซึ่งตัวเลขที่ว่านี้ก็สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลของกรมสรรพากร ที่ปีที่แล้วจัดเก็บได้สูงถึง 626,000 ล้านบาท และเท่าที่ผมทราบอัตราจัดเก็บได้ (Effective rate) อยู่ประมาณ 14% (เพราะมี BOI และการลดหย่อนต่างๆมากมาย)

ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ปีที่แล้วที่ทั้งประเทศมีรายได้ประชาชาติรวม 15 ล้านๆ บาทนั้น ถ้านับด้านรายได้ (Income Approach) ว่ามันตกอยู่กับใคร ก็สรุปได้ว่าเกือบ 30% ตกเป็นของทุน (Capital) ซึ่งหมายถึงเจ้าของกิจการทั้งไทยทั้งเทศซึ่งประมาณว่ามีไม่กี่แสนคน ไม่ถึง1% ของประชากรเป็นคนได้ไป

ส่วนคนส่วนใหญ่ประมาณสี่สิบล้านคนที่รับเป็นเงินเดือนค่าจ้าง (Wage) นั้น ตามสถิติมีส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 42% (ของประเทศไทยรายได้ส่วนนี้ค่อนข้างต่ำ) คือได้รับรวมกัน 6.3 ล้านๆ ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากค่าเช่า (Property) ดอกเบี้ย (Interest) ซึ่งก็คือทุนอีกนั่นแหละ รายได้ของรัฐ และจากเศรษฐกิจนอกระบบที่ไม่เป็นทางการ

ทีนี้ พอมาครึ่งปีแรกนี้ รายได้ประชาชาติรวมโตขึ้น 4.8% ซึ่งถ้ารวมเงินเฟ้อ 1.5% ก็เท่ากับเติบโตได้ 6.3% แต่กำไรของบริษัทซึ่งมีส่วน 30% เติบโตตั้ง 20% (สมมุติว่านอกตลาดหลักทรัพย์ก็เติบโตในทิศทางเดียวกัน) ก็พอจะเดาได้ว่าคนส่วนใหญ่ซึ่งกินเงินเดือนกับทำงานนอกระบบ จะเป็นอย่างไร …ก็ติดลบน่ะสิครับ ยิ่งแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยกำลังมา ราคาอสังหาริมทรัพย์ทะยานไม่หยุด ยิ่งน่ากังวลแทนคนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งไม่มีเงินออม ไม่มีทรัพย์สินสะสม ว่าจะต้องลดส่วนแบ่งอันหมายถึงลดรายได้แท้จริงไปอีกเรื่อยๆ

ทั้งหมดนี้เป็นการวิเคราะห์คร่าวๆ เบื้องต้น ที่อยากให้มีนักวิชาการลงวิจัยกันอย่างละเอียดอีกครั้งนะครับ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ”ทิศทาง” (Trend) มันเป็นไปอย่างที่ว่า ซึ่งก็สอดคล้องกับเทรนด์ในหลายๆ ประเทศ เช่น สหรัฐ จีน อังกฤษ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ทั่วไป เพราะความเหลื่อมล้ำมันทวีขึ้นทุกที และก็สอดคล้องกับทฤษฎีของThomas Piketty ในหนังสือ Capital in the Twenty-first Century ที่ว่า ตราบใดที่อัตราผลตอบแทนของทุน ยังสูงกว่าอัตราการเติบโต (r>g) ในที่สุดนายทุนจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปไว้ในกระเป๋าตนจนหมด และเมื่อนั้นแหละครับ Communist กับMarxist ก็มีโอกาสจะฟื้นคืนชีพ

ถามว่าเรื่องนี้ใครผิด? …บริษัทห้างร้าน นายทุน รัฐบาล หรือประชาชนทั่วไป …จริงๆ ไม่มีใครผิดหรอกครับ บริษัทก็มีหน้าที่ที่ต้องเพิ่มกำไร นายทุนเขาก็แสวงหาผลตอบแทน รัฐบาลก็มีหน้าที่กระตุ้นให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปให้ได้ …มันเป็นปัญหาทางโครงสร้างที่สะสมหมักหมมมานาน

แล้วถามว่าทิศทางแก้ปัญหาที่ทำอยู่ แผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศที่มีแล้วนั้น โครงการประชารัฐต่างๆ เหล่านี้จะตอบโจทย์แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ไหม? …(ในความเห็นผม)คิดว่ายังไม่เพียงพอ แถมหลายเรื่องเป็นการหลงทางเสียด้วยซ้ำ เช่น การไม่กระจายอำนาจ การเน้นความมั่นคงที่ไม่ตรงจุดโดยเพิ่มกฎระเบียบทุกวัน การเพิ่มขยายขนาดบทบาทและอำนาจรัฐ การตัดการมีส่วนร่วม ฯลฯ

แล้วถามว่าควรจะทำยังไง? …ก็คงต้องตอบว่าไม่ทราบครับ ขอไปสวดมนต์ก่อน