‘พาณิชย์’ เผยโดนสำนักงบฯ-สภาพัฒน์ ตีตกข้อเสนอที่ขออนุมัติงบชดเชยทำโครงการปุ๋ยถูก

414
0
Share:

นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าและราคาปุ๋ยเคมี สำหรับกรณีสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทยยื่นหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์เพื่อขอปรับราคาขายปุ๋ยเคมี เพราะต้นทุนต่างๆ เพิ่มขึ้นสูงมาก รวมถึงสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศนั้น นายจุรินทร์ได้สั่งการให้มีการประเมินข้อมูลต้นทุน และราคาแล้ว

ซึ่งการอนุญาตให้ปรับราคาจำหน่ายปุ๋ย จะต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป โดยคำนึงถึงต้นทุนวัตถุดิบปุ๋ยในตลาดโลกที่สูงขึ้น ผลกระทบต่อเกษตร และแนวทางเยียวยาผลกระทบควบคู่กันไป ดังนั้น การแก้ปัญหาไม่ใช่จากกระทรวงพาณิชย์หน่วยงานเดียว หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันด้วย ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาพาณิชย์ได้ดำเนินโครงการลดราคาปุ๋ยเคมีให้กับเกษตรกร โดยขอความร่วมมือผู้ผลิต ผู้ค้าให้ช่วยลดราคาขายให้ โดยไม่ได้ใช้เงินงบประมาณเลย ประกอบกับ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้พาณิชย์เร่งเดินหน้าลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร ส่งผลให้จะต้องเดินหน้าโครงการต่อเป็นปีที่ 3 และได้ทำเรื่องเสนอขอความเห็นชอบจากครม. ขออนุมัติงบกลางมาดำเนินโครงการมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 64 ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) มีความเห็นแย้ง

เนื่องจากสำนักงบฯ บอกว่าไม่ใช่หน้าที่กระทรวงพาณิชย์ที่จะลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร เป็นหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งๆ ที่นายกฯ สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการ เราจึงประสานให้กระทรวงเกษตรฯ เสนอตามข้อแนะนำสำนักงบฯ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้เสนอไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการอำนวยการจากสำนักงบฯ จึงจะเปลี่ยนมาใช้งบเงินกู้ แต่สภาพัฒน์ก็แย้งว่า การขอใช้เงินชดเชยในเรื่องปุ๋ย ไม่ตรงกับจุดประสงค์ของการใช้งบเงินกู้ ดังนั้น นายจุรินทร์ จะชี้แจงเรื่องดังกล่าวต่อนายกฯ เพื่อให้หาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป

นางมัลลิกา กล่าวต่อว่า รัฐบาลจะต้องช่วยแก้วิกฤตินี้ให้ตรงจุด โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะเกิดวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน พาณิชย์ได้ทำโครงการลดราคาปุ๋ย โดยไม่ใช้เงินงบประมาณเลย แต่ขณะนี้มีวิกฤติเข้ามาซ้ำ และเราอยู่ปลายน้ำ จึงต้องการให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันแก้ปัญหา ไม่เช่นนั้นราคาปุ๋ยที่สูงขึ้น จะยิ่งซ้ำเติมเกษตรกรให้เดือดร้อนมากขึ้น