มองมุมบวก! คนไทยเกือบหมด เชื่อมั่นวิทยาศาสตร์พัฒนาคุณภาพชีวิตได้ในอนาคต

169
0
Share:
มองมุมบวก! คนไทยเกือบหมด เชื่อมั่น วิทยาศาสตร์ พัฒนา คุณภาพชีวิต ได้ในอนาคต

3เอ็ม (3M) ในฐานะองค์กรวิทยาศาสตร์ระดับโลก ได้เผยผลสำรวจดัชนีสถานะวิทยาศาสตร์ประจำปี 2566 (3M State of Science Index 2023 – SOSI 2023) ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นและความรู้สึกของผู้บริโภคเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และผลกระทบของวิทยาศาสตร์ที่มีต่อโลกรอบๆ ตัวเรา ซึ่งข้อมูลที่ได้จากดัชนีสถานะวิทยาศาสตร์ประจำปี 2566 จะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถคาดการณ์ถึงความท้าทายในอนาคต และพัฒนานวัตกรรมและสร้างสรรค์โซลูชั่นใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านั้นได้

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สำรวจดัชนีสถานะวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ประจำปี 2566 ซึ่งคนไทยกว่า 91% เชื่อว่าผลลัพธ์ในเชิงบวกจะเกิดขึ้นได้หากมีการผนึกกำลังในการนำวิทยาศาสตร์มาใช้แก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาระบบสาธารณสุข และการเกษตรที่ยั่งยืน ซึ่งข้อมูลเชิงลึกจากผลการสำรวจนี้จะช่วยให้เราสามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้คน ธุรกิจ และสังคมในวงกว้าง” นางวิยะดา ศรีนาคนันทน์ ประธานบริหาร บริษัท 3เอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าว

ข้อมูลจากผลสำรวจดัชนีสถานะวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย ประจำปี 2566 ระบุว่า 86% ของผู้ตอบแบบถามในประเทศไทย เชื่อว่าวิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มที่เปราะบางที่สุดของโลก และ 88% (เทียบกับ 84% ในระดับโลก) ต้องการทราบว่านักวิทยาศาสตร์มีมุมมองอย่างไรต่อปัญหาทางด้านสังคม 91% ของคนไทย (เทียบกับ 94% ในระดับโลก) เชื่อว่าผลลัพธ์เชิงบวกจะเกิดขึ้นได้หากผู้คนผนึกกำลังในการนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ไขปัญหา ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาระบบสาธารณสุข และการเกษตรที่ยั่งยืน ยิ่งไปกว่านั้น 89% เชื่อว่าโรงเรียนควรกำหนดให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ที่สอนแก่นักเรียน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนมีความชอบในวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งสนับสนุนให้เยาวชนรุ่นต่อๆ ไปมีความตระหนักรู้ คิด และมีส่วนร่วมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตั้งแต่วัยเด็กการรับรู้ถึงความสำคัญทางด้านสะเต็ม เป็นสิ่งที่ผู้คนมีความเห็นตรงกันและรับรู้ได้ในวงกว้าง โดย 89% ของคนไทยเห็นตรงกันว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสะเต็มจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ของอนาคตได้

อย่างไรก็ตาม มีแรงงานอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับโอกาสในการนำศักยภาพของตนออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยเห็นว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน มีแรงงานที่มีศักยภาพที่ยังไม่ได้รับโอกาสซ่อนอยู่ในกลุ่มแรงงานสาขาสะเต็มถึง 87% (เทียบกับ 82% ในระดับโลก) และ 79% (เทียบกับ 86% ในระดับโลก) ของคนไทยเห็นว่าผู้หญิงไม่ได้นำศักยภาพด้านสะเต็มของตนออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหากกลุ่มคนเหล่านี้ได้รับโอกาส ก็จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ 86% ของคนไทยเห็นว่าจะต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนกลุ่มด้อยโอกาสสามารถมีส่วนร่วมในการศึกษาในสาขาสะเต็มได้เพิ่มมากขึ้น โดยที่ 89% (เทียบกับ 78% ในระดับโลก) กล่าวว่ากลุ่มด้อยโอกาสมักไม่ได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษาในสาขาสะเต็ม

ด้วยเหตุนี้ 3เอ็ม จึงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมโครงการที่เกี่ยวกับการศึกษาในสาขาสะเต็มในประเทศไทย ด้วยการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การจัดค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก ประจำปี 2566 กิจกรรม 3M Tech Talks สำหรับนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่หลากหลายและเท่าเทียม และในปีนี้เช่นกัน เราได้มอบทุนจำนวน 50,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,768,000 บาท) เพื่อสนับสนุนศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ดำเนินงานโดยมูลนิธิกระจกเงา เพื่อสร้างห้องสมุดและห้องปฎิบัติการวิทยาศาสตร์ รวมถึงการซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น หนังสือ คอมพิวเตอร์ เครื่องมือ และอุปกรณ์การเรียนสำหรับนักเรียนประมาณ 300 คน ซึ่ง 99.99% เป็นเด็กไร้สัญชาติ 3เอ็ม เชื่อในความสำคัญของการบ่มเพาะนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่เริ่มต้นด้วยการเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียมและการสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนเลือกศึกษาในสาขาสะเต็มแรงงานฝีมือที่มีทักษะเฉพาะทาง เป็นที่ต้องการอย่างเร่งด่วนในภาคอุตสาหกรรมการขยายตัวของสังคมเมืองดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจากการขับเคลื่อนของแรงงานฝีมือที่มีทักษะในหลากหลายอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องดำเนินการสนับสนุนด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการให้โอกาสแก่ทุกคน (Diversity, Equity & Inclusion หรือ DE&I) มากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะในสาขาสะเต็มเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มแรงงานฝีมือและภาคส่วนอื่นๆ อีกด้วย โดย 91% เชื่อว่าเราจะต้องเพิ่ม DE&I ในกลุ่มแรงงานฝีมือ และ 90% (เทียบกับ 88% ในระดับโลก) เชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเพิ่มเรื่อง DE&I ในสาขาการบริการด้านสุขภาพด้วยผลการสำรวจแสดงว่า 90% ของคนไทย (เทียบกับ 93% ในระดับโลก) เห็นว่าประเทศไทยมีความต้องการแรงงานฝีมือเพิ่มขึ้นอย่างเร่งด่วน ซึ่งการขาดแคลนนี้อาจเป็นผลมากจากมุมมองของสังคมที่มีต่อแรงงานฝีมือ โดย 71% (เทียบกับ 56% ในระดับโลก) เชื่อว่าสังคมมีทัศนคติเชิงลบต่อกลุ่มแรงงานฝีมือ ซึ่งสอดคล้องกับ 68% ของผู้ตอบแบบสำรวจ (เทียบกับ 58% ในระดับโลก) ที่เห็นว่าผู้ปกครองมักไม่ส่งเสริมให้ลูกหลานของตนเลือกศึกษาในวิชาชีพทางด้านงานฝีมือผู้ตอบแบบสำรวจ 89% เห็นว่าหากประเทศไทยไม่สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานกลุ่มนี้ได้ในเร็ววัน จะเกิดผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตของผู้คนโดยรวมจะแย่ลง เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย งานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคอาจจะไม่ได้ดำเนินการโดยแรงงานที่มีทักษะเฉพาะทางที่เหมาะสม และเกิดปัญหาความท้าทายต่อห่วงโซ่อุปทาน

3เอ็ม ตระหนักถึงปัญหาความขาดแคลนนี้และได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น หนึ่งในความมุ่งมั่นของ 3เอ็ม คือ การเสริมสร้างให้ชุมชนท้องถิ่นมีความเท่าเทียมมากขึ้น รวมทั้งในการดำเนินธุรกิจและสถานที่ทำงาน 3เอ็ม จึงได้ตั้งเป้าหมายที่มุ่งเน้นด้านการศึกษาในทั่วโลก เราจะพัฒนาความเท่าเทียมทางเศรฐกิจด้วยการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ด้านสะเต็ม และการพัฒนาทักษะด้านแรงงานฝีมือให้แก่กลุ่มผู้ด้อยโอกาสด้วยการจัดกิจกรรมสนับสนุนการเรียนรู้จำนวน 5 ล้านกิจกรรมภายในสิ้นปี 2568

ภาคธุรกิจและประชาชนต้องดำเนินงานรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกัน แม้จะมีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิทั่วโลกอาจสูงขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี 2593* การดำเนินงานหรือนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงมีความจำเป็นมากกว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก ซึ่งองค์การสหประชาชาติได้ออกมาเตือนว่าประเทศที่กำลังพัฒนาเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดจากสภาวะโลกร้อนมากที่สุด

สำหรับประเทศไทย ผู้คน 73% มีความกังวลว่าภัยภิบัติทางธรรมชาติจะทวีรุนแรงขึ้น ในขณะที่ 70% กังวลเรื่องปัญหามลพิษทางอากาศ และ 69% กังวลเรื่องมลพิษพลาสติกข้อมูลเพิ่มเติมจากผลสำรวจดัชนีสถานะวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2566 มีความสอดคล้องกับมุมมองทั่วไปของผู้คนกว่า 92% ที่กล่าวว่าพวกเขากังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งคำตอบของการบรรเทาผลกระทบเหล่านี้ได้คือ การพึ่งพาวิทยาศาสตร์ เพราะ 89% เชื่อว่าวิทยาศาสตร์จะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้การดำเนินการและนวัตกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเป็นที่ต้องการอย่างเร่งด่วน ตามรายงานล่าสุดของ WMO ชี้ให้เห็นว่า อุณหภูมิของโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ภายใน 5 ปีข้างหน้า ส่งผลให้ความรับผิดชอบในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ตกเป็นของภาคธุรกิจและประชาชน โดย 89% เห็นว่าบริษัทต่างๆ จำเป็นต้องเร่งการพัฒนาและนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่ 88% (เทียบกับ 90% ในระดับโลก) เห็นด้วยว่าเราควรนำวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่อทำให้โลกเกิดความยั่งยืนมากขึ้น