ยอดเหยื่อและความเสียหายถูกแอปดูดเงินลดลงมากกว่า 50% ยอดอายัดพุ่งสูงถึง 5 เท่า

นายภิญโญ ตรีเพชราภรณ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับและตรวจสอบความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ กล่าวว่า ความเสียหายจากแอปดูดเงินในไทยมีแนวโน้มลดลง ปรากฏว่าในเดือนกันยายน 2566 มีจำนวนผู้เสียหายลดลงกว่า 30% เมื่อเทียบกับต้นปีนี้ มาอยู่ที่ 1,300 ราย สอดคล้องกับมูลค่าความเสียหายลดลง 53% อยู่ที่ 85 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดเป็นตัวเลขสิ้นเดือนกันยายน 2566 จากนี้ไป คาดว่าความเสียหายน่าจะลดลง จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นตัวเลขของธนาคารต่าง ๆ มีทิศทางลดลงหมด

ด้านการอายัดเงินเมื่อเกิดเหตุการณ์แอปดูดเงิน พบว่า ถ้าเปรียบเทียบกับช่วงก่อนจะมี พ.ร.ก. เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 นั้น ปรากฏว่าสัดส่วนการอายัดเงินอยู่ที่ 3.9% ของหมายที่มีการให้ธนาคารอายัด แต่ภายหลังจากมี พ.ร.ก. สัดส่วนการอายัดเพิ่มขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดที่ระดับ 20.6% หรืออายัดเพิ่มขึ้น 5 เท่า

สาเหตุจากพ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ที่มีผลบังคับใช้ รวมถึงธนาคารพาณิชย์มีการพัฒนาระบบป้องกันการติดตั้งแอปปลอมบนโมบายแบงกิ้ง ขณะที่มาตรการสแกนใบหน้าก็มีส่วนช่วยในการอายัดบัญชีและระงับธุรกรรม

ปัจจุบัน ผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวงดูดเงินผ่านแอปสามารถโทรศัพท์ติดต่อไปที่ธนาคาร เพื่อทำการอายัดและระงับบัญชีธุรกรรมได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากเดิมจะต้องไปแจ้งตำรวจ พ.ร.ก.ดังกล่าวทำให้สามารถลดเวลา และมาตรการสแกนใบหน้า ทำให้บัญชีม้าจากเดิมที่สามารถโอนเงินได้เต็มวงเงิน ทำให้ไม่สามารถโอนเงินได้เต็มวงเงิน โดยโอนได้ไม่เกิน 200,000 บาทต่อวัน ซึ่งทำให้เงินที่ค้างอยู่ในบัญชีสามารถถูกระงับได้ทัน

สำหรับการจำกัดบัญชีต่อคนนั้น ไม่ได้เป็นการสกัด หรือแก้ปัญหาโดยตรงเรื่องบัญชีม้า เนื่องจากแม้ว่าจะเปิดบัญชีหลายบัญชีก็ตาม แต่เวลาขายจะต้องขายคู่กับบัญชีโมบายแบงกิ้ง และเมื่อตรวจจับเจอว่าเป็นบัญชีม้า แม้ว่าจะมี 10-20 บัญชี บัญชีเหล่านั้นก็ถูกระงับทันที แบงก์ชาติจึงเลือกออกมาตรการจำกัดจำนวนโมบายแบงกิ้งต่อคนแทน รวมถึงมาตรการของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หากตรวจจับบัญชีม้าได้ 1 ราย จะมีการส่งรายชื่อให้ทุกธนาคาร ทำให้บุคคลดังกล่าวที่มีบัญชีธนาคารทุกแห่งจะไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้