รมว.คลังชี้ต้องเร่งกระตุ้นการบริโภค-การลงทุนในประเทศ

805
0
Share:

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้รับทราบการรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 และแนวโน้มของปี 2564 ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะภาคการส่งออก ภาคบริการ และการท่องเที่ยว โดยคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อเยียวยาและช่วยเหลือประชาชนกลุ่มต่างๆ อย่างเร่งด่วนเพิ่มขึ้น
.
ที่สำคัญเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการดำเนินนโยบายการคลัง ที่จะต้องบริหารจัดการให้อยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่เหมาะสม โดยจะต้องมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้นในเรื่องการประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ
.
สำหรับนโยบายการคลัง จะเน้นการประสานนโยบายและมาตรการภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังอย่างยั่งยืน (Fiscal Sustainability) ได้แก่
.
1. ในระยะสั้นจะให้ความสำคัญกับการบริหารภาพรวมเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวโดยเร็ว ได้แก่ การขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบตามมติของ ศบศ. โดยเฉพาะเรื่องเร่งด่วน คือ การกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องของภาคธุรกิจต่างๆ
.
2. สำหรับมาตรการระยะปานกลาง เป้าหมายคือการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและดูแลให้เศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาเติบโตได้ตามศักยภาพหลังจากวิกฤตโควิด-19 โดยให้ความสำคัญในการปรับโครงสร้างการคลังของประเทศทั้งในส่วนของรายได้และรายจ่าย เช่น การจัดเก็บภาษี E-commerce, Online-trade และ E-logistics เป็นต้น
.
ส่วนการชุมนุมทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่ในส่วนของกระทรวงการคลัง ยังต้องเดินหน้าดูแลเรื่องศักยภาพและความมั่นคงในภาพรวมเศรษฐกิจของไทย เนื่องจากวันนี้ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ส่วนภาพรวมการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2564 ยังเป็นไปตามเอกสารงบประมาณที่ 2.67 ล้านล้านบาทตามเดิม โดยหลังจากนี้คงต้องติดตามสถานการณ์ทุกเดือนทุกไตรมาส
.
ด้านนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการแจกของขวัญปีใหม่ 2564 จะเน้นไปยังกลุ่มประชาชนที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคนละส่วนกับมาตรการช้อปดีมีคืน และคนละครึ่ง แต่ต้องขอเวลาไปศึกษาว่าจะแจกอย่างไร
.
เบื้องต้น อาจเจาะกลุ่มผู้ว่างงาน ซึ่งขณะนี้มีตัวเลขอยู่ราว 1 ล้านคนที่จะเข้าไปช่วยก่อน ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องบประมาณที่นำมาใช้ เพราะยังเหลือเงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท อีกประมาณ 5 แสนล้านบาทที่ยังนำมาใช้ได้