รัฐบาลทหารเมียนมามีโว เศรษฐกิจไม่พังซ้ำรอยศรีลังกา มีเงินดอลลาร์คู่หยวน
พลเอก ซอ มินตุน โฆษกสภาปกครองแห่งรัฐ ประเทศเมียนมา กล่าวว่า ประเทศเมียนมามีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงพอที่จะสามารถหลบเลี่ยงวิกฤตเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นใกล้เคียงกับวิกฤตเศรษฐกิจศรีลังกา ปัจจุบัน เมียนมามีปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินหยวนในสัดส่วนพอประมาณ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ชี้แจงว่าเงินตราต่างประเทศทั้ง 2 สกุลมีอยู่เท่าไหร่ในขณะนี้
รัฐบาลทหารเมียนมาที่ทำการรัฐประหารมาเป็นเวลาถึง 2 ปี ได้ประกาศใช้มาตรการต่างๆในการเก็บรักษาเงินตราสกุลต่างประเทศไว้ให้มากที่สุดในทุนสำรองระหว่างประเทศ โดยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศห้ามนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยจากต่างประเทศ เช่น รถยนต์ สิ่งของเครื่องใช้ที่มีราคาแพง เป็นต้น
ด้านธนาคารมาลายัน แบงก์กิ้ง เปิดเผยว่า ประเทศเมียนมาอยู่ในอันดับแถวหน้าที่มีความเป็นไปไม่ได้สูงที่จะไม่สามารถจ่ายคืนหนี้ต่างประเทศให้กับเจ้าหนี้หรือนักลงทุนต่างประเทศ นายไบรอัน ลี ชุน รอง และนายฉั่ว ฮัก บิน ซึ่งเป็น 2 นักวิเคราะห์จากธนาคารดังกล่าว ชี้แจงว่าสาเหตุจากรัฐทหารเมียนมาได้แจ้งไปยังธนาคารกลางเมียนมาให้มีคำสั่งให้ภาคเอกชน และองค์กรต่างๆของรัฐบาล ยกเลิกการจ่ายคืนหนี้เงินกู้ต่างประเทศทุกรูปแบบอย่างไม่มีกำหนด รวมถึงให้ปรับตารางเวลาในการจ่ายคืนหนี้ต่างประเทศกับเจ้าหนี้หรือนักลงทุน สำหรับมูลค่าหนี้ต่างประเทศคงค้างในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐของเมียนมาอยู่ที่อย่างน้อย 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 44,400 ล้านบาท
สำหรับค่าเงินจ๊าดเมียนมาเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐ พบว่า ร่วงอ่อนค่ากว่า 33% ในปี 2564 ที่ผ่านมา
ค่าเงินจ๊าดของเมียนมาเผชิญปัจจัยลบหลายอย่าง ทำให้ร่วงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้รัฐบาลทหารเมียนมาซึ่งยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยกระบวนการประชาธิปไตยเมื่อ 2 ปีผ่านมา ประกาศใช้มาตรการต่างๆในการรักษาค่าเงินจ๊าด ได้แก่ คำสั่งรัฐบาลทหารในการอายัดทรัพย์สินบางส่วนในทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางเมียนมาในสหรัฐอเมริกา และคำสั่งยกเลิกความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซึ่งทั้ง 2 แหล่งเป็นแหล่งที่มาของเงินตราต่างประเทศที่สำคัญของประเทศเมียนมา
นอกจากนี้ ประชาชนที่มีรายได้จากอัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศ จะถูกสั่งให้แปลงสกุลเงินต่างประเทศไปเป็นเงินจ๊าดอ้างอิงอัตราของธนาคารกลางเมียนมาที่ 1,850 จ๊าดต่อเงินดอลลาร์สหรัฐตามที่กำหนดไว้ในเดือนเมษายน
