ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ขึ้นปิดเหนือ 81 ดอลลาร์ ดันราคาขึ้นเกือบ 2 ดอลลาร์

198
0
Share:
ราคา น้ำมันดิบ เบร็นท์ขึ้นปิดเหนือ 81 ดอลลาร์ ดันราคาขึ้นเกือบ 2 ดอลลาร์

ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2023 ที่ผ่านไป พบว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 76.41 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +1.55 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.1% ส่งผลหยุดราคาน้ำมันดิบปิดลดลง 5 วันติดกันรวม -2.79 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 81.68 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +1.70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +2.1% ส่งผลหยุดราคาน้ำมันดิบปิดลดลง 4 วันติดกันรวม -2.92 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในปี 2022 ผ่านไปราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสจากเดิมจะมีขึ้นในวันที่ 26 ไปเป็นวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ ยังอาจจะเลื่อนออกไปอีก และอาจมีแนวโน้มลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มอีกวันละ 1 ล้านบาร์เรล

ในขณะที่มีรายงานเพิ่มเติมว่า ซาอุดิอาระเบียไม่พอใจต่อประเทศสมาชิกอื่นๆ เกี่ยวกับปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ ในขณะที่ สมาชิกกลุ่มโอเปกพลัสในกลุ่มประเทศแอฟริกา ได้แก่ แองโกลาต้องการเพิ่มโควต้ากำลังการผลิตในปี 2024 ซึ่งยังไม่สามารถตกลงกันได้ภายในกลุ่มโอเปกพลัสที่มีแนวโน้มจะขยายมาตรการลดกำลังการผลิตทั้งกลุ่ม หรืออาจลดผลิตลงอีกถึงวันละ 1 ร้านบาร์เรลในปี 2024 ขณะที่คาซัคสถานเผชิญพายุรุนแรงสางผลกระทบต่อปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ

สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ เปิดเผยว่า ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกทั้งในปี 2023 นี้ และในปี 2024 ด้วย กลุ่มโอเปกพลัสประเมินความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2024 เพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและจีนจะขยายตัวขึ้น ทำให้ปัจจัยพื้นฐานของราคาน้ำมันดิบยังคงแข็งแกร่ง แต่การที่ราคาน้ำมันดิบร่วงตกต่ำเนื่องจากเกิดภาวะเทขายราคาน้ำมันดิบมากเกินราคาแท้จริง

ขณะที่แรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาลดลงต่อเนื่อง ซึ่งจะมีการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ในวันที่ 12-13 เดือนธันวาคมนี้