รายงานชี้มีคนไทยแค่ 25% ที่พร้อมซื้อบ้าน อีก 47% เก็บเงินได้เพียงครึ่งทาง

258
0
Share:
รายงานชี้มี คนไทย แค่ 25% ที่พร้อม ซื้อบ้าน อีก 47% เก็บเงินได้เพียงครึ่งทาง

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลส ด้านอสังหาริมทรัพย์ ใน เครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป รายงานว่า เศรษฐกิจไทยในเวลานี้อยู่ในภาวะเปราะบาง อันเนื่องจากปัจจัยท้าทายที่ยืดเยื้อจากการแพร่ระบาด ผนวกกับภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ฉุดให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และเมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเร็วๆ นี้ ยิ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงแผนการเงินของผู้บริโภค และกลายเป็นความท้าทายระลอกใหม่ของผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายมาตรการควบคุม โควิด-19 ของภาครัฐ พร้อมทั้งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยบวกที่ดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาอีกครั้ง โดยข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือน ส.ค. 65 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 43.7% จากระดับ 42.4% ในเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน

ด้านข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอสังหาฯ ของผู้บริโภคปรับเพิ่มมาอยู่ที่ 51% จากเดิมที่มีเพียง 45% ในรอบก่อน สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้นในตลาดอสังหาฯ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการต่ออายุมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ รวมทั้งการที่ผู้ประกอบการยังเลือกตรึงราคาที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับกำลังซื้อในช่วงนี้ จึงทำให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่มีความพร้อม สามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังพบว่าความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคปรับเพิ่มขึ้นเป็น 67% จากเดิม 62% ในรอบก่อน ส่งสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวของดีมานด์ฝั่งคนหาบ้านที่เริ่มเชื่อมั่นในการใช้จ่ายอีกครั้ง*คนไทยพร้อมซื้อบ้านหรือยัง?

โดยข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของ ผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยพบว่า ผู้บริโภคมากกว่า 57% วางแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 1 ปีข้างหน้านี้ ขณะที่อีก 7% ยังคงเลือกเช่าที่อยู่อาศัยต่อไป ส่วน 35% ยังไม่มีการวางแผนซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยในช่วงนี้ ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญอันดับต้นๆ ของกลุ่มผู้ที่ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่ต้องการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยเพื่อรองรับการอยู่อาศัยเป็นหลัก โดย 43% ต้องการพื้นที่ส่วนตัว มากขึ้น รองลงมาคือต้องการเพิ่มพื้นที่รองรับบุตรหลาน/พ่อแม่ 30% และซื้อไว้เพื่อลงทุน 29%

เมื่อพิจารณาความพร้อมในการวางแผนการเงินก่อนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย พบว่ามี ผู้บริโภคเพียง 25% เท่านั้นที่มีเงินเก็บเพียงพอในการ ซื้อบ้าน/คอนโดฯ ขณะที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่กว่า 47% ยังเก็บเงินได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น ส่วนอีก 22% ยังไม่ได้ เริ่มวางแผนออมเงินใดๆ สะท้อนให้เห็นว่าแม้ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคตอันใกล้นี้ แต่หากขาดการวางแผนทางการเงินที่รอบคอบ ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลเมื่อต้องเป็นหนี้ก้อนใหญ่ใน อนาคต

ทั้งนี้พบว่าสภาพคล่องทางการเงินถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคจำเป็นต้องเช่าที่อยู่อาศัย ต่อไป โดยพบว่ากว่า 48% ของผู้ที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยใน 1 ปีข้างหน้า ไม่มีเงินเก็บเพียงพอในการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง และกว่า 39% เลือกที่จะเช่าเพราะมีความยืดหยุ่นมากกว่า ขณะที่อีก 27% ยังมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องซื้อบ้าน/คอนโดฯ ในเวลานี้ และอีก 25% มองว่าที่อยู่อาศัยมีราคาแพงไป จึงเลือกเก็บออมเงินไว้มากกว่าที่จะซื้อบ้านในขณะนี้

อย่างไรก็ดีผู้บริโภคกว่า 62% ต้องการให้ภาครัฐออกมาตรการลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเพิ่มเติมอีก ขณะที่มากกว่า 58% ต้องการให้มีมาตรการลดดอกเบี้ยทั้งสินเชื่อบ้านที่กู้ใหม่และที่มีอยู่ ตามมา ด้วยคาดหวังว่าจะมีมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก 44% เพื่อส่งเสริมการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในกลุ่มวัยเริ่มต้นทำงานและเริ่มสร้างครอบครัว ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในกลุ่มผู้บริโภคอายุระหว่าง 22-29 ปี