ลุ้นยิ่งกว่าหวย! แกนนำ 6 พรรคเข้าร่วมถกตั้งรัฐบาล ลุ้นจบดีลตั้งรัฐบาลใหม่ได้หรือไม่

252
0
Share:
ลุ้นยิ่งกว่าหวย! แกนนำ 6 พรรคเข้าร่วมถก ตั้งรัฐบาล ลุ้นจบดีลตั้งรัฐบาลใหม่ได้หรือไม่

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดทพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยแกนนำ 5 พรรค ประกอบด้วย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ, นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำพรรคเพื่อไทย, นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ได้เดินทางเพื่อเข้าร่วมเจรจาความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาล ที่ร้านอาหาร ย่านถนนสุโขทัย

นายพิธา กล่าวว่า สบายดี ไม่มีอะไร อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่าจะมีการประชุมภายในกับหัวหน้าพรรคที่ได้ประกาศไปแล้วว่าความชัดเจนและความเป็นเอกภาพในการทำงานของพวกเราต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศมาก

“จะมีการพูดคุยกัน รวมถึงพูดคุยเรื่องความคืบหน้าของสถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงเฉลิมฉลองผลการเลือกตั้ง และจะมีแถลงข่าววันพรุ่งนี้ ขอให้รอฟังการแถลงข่าววันพรุ่งนี้ ย้ำว่ามั่นใจว่าสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้” นายพิธา กล่าว

ซึ่งเมื่อเวลา 16.21 น.ที่ผ่านมา พบว่าบรรดาแกนนำพรรคทั้ง 5 พรรค ได้เดินทางมาครบทั้งหมดแล้ว พร้อมทั้งได้เริ่มหารือและคาดว่าจะใช้เวลานานพอสมควร ท่ามกลางการเฝ้ารอของกองทัพสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างชาติ เพื่อติดตามการหารือจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ นายรังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงยุทธศาสตร์การรวมเสียง ส.ว.ในการจัดตั้งรัฐบาลว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลทำอยู่ เป็นการปิดสวิตซ์ มาตรา 272 ในรัฐธรรมนูญ (การมีนายกรัฐมนตรีจากคนนอก) ซึ่งการปิดสวิตซ์มาตราดังกล่าวเป็นการเปิดให้จัดตั้งรัฐบาลได้ตามกลไกปกติ ซึ่งบางคนอาจลืมไปแล้วว่ากลไกนี้หน้าตาเป็นอย่างไร โดยถ้าพรรคการเมือง รวมเสียงในสภาฯ ได้มากเกิน 250 เสียง ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ประกอบกับการที่ตอนนี้พรรคก้าวไกลสามารถรวมเสียงได้กว่า 310 เสียง เป็นรัฐบาลที่แข็งแรงมาก สามารถผลักดันนโยบายได้ ดังนั้นสิ่งที่กำลังทำ คือการคืนกลไกปกติให้กับสังคม ซึ่งทุกคนต้องช่วยกัน รวมถึง ส.ว. และพรรคที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาลด้วย เพื่อยืนยันหลักการโหวตนายกฯ เสียงข้างมาก

ส่วนที่ ส.ว.อยากให้ ส.ส. รวบรวมเสียงให้ได้ 376 เสียงเองนั้น มองว่าการปิดสวิตซ์ มาตรา 272 คือความพยายามตั้งแต่ตอนแก้รัฐธรรมนูญ เป็นการปิดสวิตซ์ ส.ว. ในการเลือกนายกฯ แต่ความเป็นจริงแล้วต่อให้มาตรา 272 ไม่ถูกปิด แต่อีกไม่นานก็จะถูกปิด คำถามคือ ทำไมเราไม่สร้างบรรยากาศให้เดินต่อ สอดคล้องกับเจตจำนงของประชาชน แน่นอนว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ แต่วัฒนธรรมทางการเมืองต้องให้พรรคอันดับ 1 เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งการที่ ส.ว. แสดงความเห็นว่าให้ไปรวมเสียงเกินกึ่งหนึ่งของ 2 สภา ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมถึงไม่เคารพเสียงของประชาชนที่ไปเลือกตั้ง

ส่วนการโน้มน้าวฝั่งตรงข้ามนายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องพูดคุยกับทุกฝ่าย ถ้าลองดูคนที่เคยโหวตปิดสวิตซ์มาตรา 272 ใน ส.ว. ก็มีหลายสิบคน นอกจากนี้ยังมีพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคภูมิใจไทย ทุกฝ่ายมีส่วนที่จะสร้างบรรยากาศให้ประเทศเดินต่อได้ อยากให้มองว่าการปิดสวิตซ์มาตรา 272 กับการจัดตั้งรัฐบาลเป็นคนละส่วนกัน เพราะการจัดตั้งรัฐบาลต้องลงเรือลำเดียวกัน ต้องเอานโยบายแต่ละฝ่ายเข้ามาหารือ ซึ่งการเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ควรมีเงื่อนไขแบบนี้ตั้งแต่ต้น ตนไม่อยากขอร้องอะไรจากใคร แต่เป็นการช่วยกันเพื่อสะท้อนเสียงของประชาชน