“ศักดิ์สยาม” แนะรอศาลฯ ตัดสินปมรถไฟฟ้าสายสีส้มให้สิ้นสุดก่อนเดินหน้าเซ็น BEM

294
0
Share:
"ศักดิ์สยาม" แนะรอศาลฯ ตัดสินปม รถไฟฟ้าสายสีส้ม ให้สิ้นสุดก่อนเดินหน้าเซ็น BEM

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม – บางขุนนนท์ ขณะนี้ การพิจารณายังอยู่ที่ การรรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (คณะกรรมการคัดเลือกฯ) ซึ่งเป็นขั้นตอนตามกฎหมาย ต้องรอให้ รฟม.เสนอมาที่กระทรวงคมนาคมก่อน ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่มีรายงานเข้ามา

ซึ่งส่วนตัวต้องการให้โครงการเดินหน้าเร็วที่สุด แต่การดำเนินการต้องเป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และความจริง ดังนั้น จึงเห็นว่าควรต้องรอคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในประเด็นที่มีการฟ้องร้องกันให้ถึงที่สุดก่อนเพื่อให้จบ เพราะหากดำเนินการไปแล้ว ต่อมาศาลวินิจฉัยออกมาไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ทำไป ก็อาจจะเกิดปัญหาอื่นซ้อนขึ้นมาได้

ยืนยันว่าไม่ใช่ไม่กล้าลงนามในสัญญา แต่มีความเห็นว่าควรรอกระบวนการทางกฎหมาย โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้จบสิ้นข้อสงสัยก่อน โดยได้ให้นโยบายในลักษณะนี้กับทุกหน่วยงานในสังกัด ไม่ใช่แค่กับ รฟม. เพราะการดำเนินการทุกอย่างต้องเป็นไปตามระเบียบกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ทั้งนี่ หาก รฟม.เสนอเรื่องดังกล่าวมายังกระทรวงคมนาคม แต่คดีความต่างๆ ยังไม่ได้ข้อยุติ ก็คงต้องมาพิจารณาว่า รฟม. และคณะกรรมการตามมาตรา 36 ได้ดำเนินการมาอย่างไร ทำตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ซึ่งกระทรวงฯ ก็มีปลัดกระทรวงฯ และฝ่ายกฎหมายช่วยพิจารณา หากเป็นไปตามระเบียบกฎหมาย เป็นไปตามมติ ครม. และคดีความชั้นศาลถึงที่สุดแล้ว รมว.คมนาคมก็มีหน้าที่นำเสนอ ครม.ตามขั้นตอน

อย่างไรก็ตาม ก่อนเสนอ ครม.คงต้องหารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงคมนาคมก่อน และทางเลขาฯ ครม. ต้องมีการสอบถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก ซึ่งเป็นหลักปฎิบัติที่ปกติ

สำหรับโครงการร่วมลงทุนรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์ ระยะทาง 35.9 กม. บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) เป็นผู้เสนอผลประโยชน์สุทธิให้แก่รัฐ (มูลค่าปัจจุบัน: NPV) เท่ากับ -78,287.95 ล้านบาท หรือขอรับการสนับสนุนวงเงินค่าก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ 78,287.95 ล้านบาท จากกรอบภาครัฐที่จะสนับสนุนค่างานโยธาในวงเงินไม่เกิน 96,012 ล้านบาท