‘สภาพัฒน์’ กังวลไทยเผชิญปัญหาภัยแล้ง กดดันเศรษฐกิจ จีดีพีเกษตรอาจทรุดได้กว่า 6.5%

302
0
Share:
‘สภาพัฒน์’ กังวลไทยเผชิญปัญหา ภัยแล้ง กดดัน เศรษฐกิจ จีดีพีเกษตรอาจทรุดได้กว่า 6.5%

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่าภาวะภัยแล้งที่จะเกิดจากสภาวะเอลนีโญซึ่งมีแนวโน้มที่รุนแรงต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งจากการคาดการณ์ของจาก National Weather Service; Climate Prediction Centre (NOAA) ได้คาดการณ์เกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้และมีโอกาส 62% ที่จะเข้าสู่เอลนีโญตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค. 2566 ถึงเดือน ก.ค. 2566 และการเกิดขึ้นอาจต่อเนื่องไปจนถึงกุมภาพันธ์ 2567 หรือยาวนานไปมากกว่านั้น

โดยในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยเผชิญกับปัญหาภัยแล้งเนื่องจากสภาวะเอลนีโญที่รุนแรงในปี 2558 และปี 2562 ที่มีสภาวะเอลนีโญ เกิดขึ้นและเป็นช่วงที่ปริมาณฝนสะสมน้อยและอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติเกือบทุกเดือน ขณะเดียวกัน ปริมาณน้ำใช้ได้จริงของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ในภาคเกษตร (จีดีพีเกษตร)อย่างรุนแรง ซึ่งในปี 2558 จีดีพีเกษตรหดตัวไปถึง 6.5% ส่วนในปี 2562 จีดีพีเกษตรหดตัวลงไป 1% ซึ่งสะท้อนว่าสภาวะเอลนีโญส่งผลต่อรายได้ภาคเกษตร และกำลังซื้อของเกษตรกรในประเทศไทยด้วย

ดังนั้นประเทศไทยจึงควรเตรียมความพร้อมโดยการเฝ้าระวัง ติดตาม และประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และดำเนินมาตรการบริหารจัดการเพื่อรองรับสถานการณ์อย่างเหมาะสม และทันท่วงที โดยเฉพาะแนวทางการจัดสรรทรัพยากรน้ำและพื้นที่เพาะปลูกให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน การหาแหล่งน้ำสำรอง และการเตรียมความพร้อมของเครื่องจักรให้อยู่สภาพพร้อมใช้งานควบคู่ไปกับการดูแลผลผลิตภาคเกษตรที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจาก ความแปรปรวนของสภาพอากาศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตและคุณภาพสินค้า จนทำให้รายได้เกษตรลดลง รวมทั้งการให้ความสำคัญกับปัญหาต้นทุนวัตถุดิบทางการเกษตรที่ยังอยู่ในระดับสูงด้วย

นอกจากนี้บางอุตสาหกรรมจะขาดแคลนน้ำดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิต กระบวนการหล่อเย็น ซึ่งพื้นที่น่าเป็นห่วงคือพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งในส่วนนี้ภาคเอกชนก็มีการเตรียมความพร้อมแล้ว เช่น การทำกระบวนการรีไซเคิลนำน้ำทิ้งกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งภาครัฐจะต้องมีแผนที่จะรองรับ เช่น การทำฝนหลวงในช่วงที่ฝนทิ้งช่วง เพื่อเติมน้ำในเขื่อน และช่วยให้พื้นที่บริเวณที่ขาดแคลนน้ำมาก โดยแผนการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมนั้นเป็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งจะมีข้อมูลน้ำในระดับพื้นที่ทำให้สามารถวางแผนการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง