สรรพสามิตเร่งศึกษาเก็บภาษีสินค้าใหม่ปีงบประมาณ 2566 กลุ่มเพื่อสุขภาพ-รักษาสิ่งแวดล้อม

376
0
Share:
สรรพสามิต เร่งศึกษาเก็บ ภาษี สินค้าใหม่ปีงบประมาณ 2566 กลุ่มเพื่อสุขภาพ-รักษาสิ่งแวดล้อม

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2566 กรมสรรพสามิตมีแผนศึกษาเก็บภาษีสินค้าใหม่ โดยจะเน้นกลุ่มสินค้าทึ่ดูแลเพื่อสุขภาพและรักษาส่ิงแวดล้อม ได้แก่ น้ำมันไบไอเจ็ท ,ไบไอพลาสติก ,แบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้า,เหล้า-เบียร์ มีแอลกอฮอล์ 0% ,บุหรี่ไฟฟ้า และภาษีคาร์บอน โดยตั้งเป้าให้ได้ข้อสรุปชัดเจนภายในปีนี้ และต้องรอเวลาการกำหนดพิกัดอัตราภาษีที่เหมาะสมก่อน กำหนดเวลาจัดเก็บที่ชัดเจนอีกครั้ง

ยกตัวอย่างเช่น การจัดเก็บภาษีสินค้าแบตเตอรีนั้น ปัจจุบันกรมฯได้จัดเก็บภาษีอยู่แล้วในอัตรา 8% แต่เพื่อส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม กรมฯจะสนับสนุนภาษีในรูปแบบที่แบตเตอรี่นำมารีไซเคิลได้ หากรีไซเคิลไม่ได้ จัดเก็บอัตราภาษีแพง ขณะที่กรณีสินค้าเหล้า-เบียร์ มีปริมาณแอลกอฮอล์สูง ก็จะจัดเก็บภาษีสูง แต่หากไม่มีแอลกอฮอล์หรือ เบียร์-เหล้า 0% ก็จัดเก็บภาษีต่ำ ซึ่งเทรนด์การดื่มอัลกอฮอล์ 0%นี้ ถือเป็นเทรนด์ของเด็กรุ่นใหม่ ฉะนั้น กรมฯจึงส่งเสริมและหนุนให้ผู้ผลิตผลิตสินค้าดังกล่าวมากขึ้น ทั้งนี้ เหล้าเบียร์ 0%นี้ เราจะจัดอยู่ในหมวดหมู่เครื่องดื่มทั่วไป โดยอัตราภาษีจะต่ำกว่าภาษีเครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอล์แต่จะสูงกว่าเครื่องดื่มทั่วไป

ส่วนการเก็บภาษีจะทำภายใต้หลักการสินค้าทำลายสิ่งแวดล้อมก็ต้องเก็บภาษีสูง ถ้ารักษาสิ่งแวดล้อม เก็บภาษีต่ำ เช่นเดียวกับภาษีความเค็มมาก และความหวานมาก ก็ต้องเก็บภาษีสูง หวานน้อยเค็มน้อยก็เก็บภาษีต่ำ เพื่อรักษาสุขภาพของคนไทย

การศึกษาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ เป็นการดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล(Governance) หรือ ESG สร้างมาตรฐานสากล เดินหน้าเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืน ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขัน สร้างเศรษฐกิจให้เติบโต ส่งเสริมสังคม และสนับสนุนให้ประชาชนในประเทศ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งในด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และกรมสรรพสามิตยังสามารถช่วยรักษาเสถียรภาพการคลังและวางรากฐานให้สังคมไทยด้วย

สำหรับ ในปีงบประมาณ2566 กรมสรรพสามิตมีเป้าหมายการจัดเก็บรายได้รวม 5.67 แสนล้านบาท ส่วนปีงบประมาณ 2565 กรมฯจะจัดเก็บภาษีได้ประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งนับรวมการปรับลดภาษีน้ำมันดีเซลแล้ว