หมีตะปบหุ้น! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดิ่งแรงกว่า 280 จุด น้ำมันดิบโลกปิดลงหลุด 80 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 32,920 จุด -281 จุด หรือ -2.25% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,852 จุด -43 จุด หรือ -1.11% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 10,705 จุด -105 จุด หรือ -0.97% ในสัปดาห์นี้ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ร่วงลงถึง -1.70%, -2.08% และ -2.70% และยังเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันที่ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งปิดลงในแดนลบ

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 ผ่านมา ดัชนีหุ้นดาวโจนส์รายวันทำสถิติตกต่ำเลวร้ายที่สุดในรอบ 3 เดือน หรือนับตั้งแต่กันยายนผ่านมา ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ในเดือนนี้ดำดิ่งหนักถึง -5.58% และหลุดระดับ 4,000 จุดเป็นวันที่ 3 ต่อเนื่อง ส่วนดัชนีหุ้นนาสแดคทำสถิติดิ่งเหวหนักถึง -31% นับตั้งแต่ต้นปีนี้มาถึงปัจจุบัน ยังคงอยู่ในภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market ทั้งปีนี้

นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ยังถูกถล่มเทขายอย่างรุนแรงใน 3 วันทำการติดกันมากถึง -1,187, -166 และ -550 จุด อีกด้วย

สาเหตุกระทรวงพาณิชย์ สหรัฐอเมริกา แถลงตัวเลขยอดขายปลีกเดือนพฤศจิกายนทรุดลง -0.6% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา โดยตัวเลขดังกล่าวลดต่ำลงมากกว่าที่คาดไว้มากที่ระดับ -0.3% สร้างความกังวลอย่างมากต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ท่ามกลางธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.5% ในวันพุธผ่านมาตามคาดไว้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.25-4.50% สูงสุดในรอบ 15 ปี ในขณะที่ เฟดส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะยังคงต้องดำเนินการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นต่อไปอีกมากเพื่อแก้ไขภาวะเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่ที่ระดับ 2% ตามเป้าหมาย ดังนั้น เฟดจะใช้เครื่องมือต่างๆ ในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ สิ่งสำคัญ คือ เฟดปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสุดท้ายอยู่สูงกว่าระดับ 5.1%

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 74.29 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -1.82 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -2.4% ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 79.04 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.17 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -2.4% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาดำดิ่งอย่างหนักในรอบ 3 เดือน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกแข็งค่าสูงขึ้น ธนาคารกลางกลุ่มยูโร และอังกฤษ พร้อมใจกันปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นแห่งละ 0.5% ในคืนผ่านมา ส่งผลอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของทั้งธนาคารกลาง 2 แห่งดังกล่าวทำสถิติสูงสุดในรอบ 14-15 ปี เช่นเดียวกันกับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาที่ปรับสูงสุดในรอบ 15 ปีเมื่อคืนวันพุธผ่านมา

นอกจากนี้ ท่อส่งน้ำมันดิบมีชื่อว่าคีย์สโตนจากแคนาดามาสหรัฐอเมริกา ต้องใช้เวลาซ่อมแซมนานกว่าคาดไว้ หลังจากพบการรั่วไหลของน้ำมันดิบเป็นจำนวนถึง 14,000 บาร์เรลในสัปดาห์ผ่านไป ทำสถิติน้ำมันดิบรั่วไหลมากที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี ส่งผลกระทบต่อปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง โอกลาโฮมา สหรัฐอเมริกา

รัสเซียขู่ลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพื่อตอบโต้กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกทั้ง 7 ประเทศ หรือกลุ่มจี 7 ประกาศการประกาศใช้มาตรการจำกัดเพดานราคาน้ำมันดิบที่ขนส่งทางทะเลจากประเทศรัสเซียที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคมนี้

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,802.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +8.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ +0.8% ทำสถิติราคาทองคำรายสัปดาห์ตกต่ำมากสุดในรอบ 1 เดือนผ่านมา หรือตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา

ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะกลางอายุ 10 ปี ทรงตัว และเพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งเป็นผลจากการประชุมของเฟดประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นตามที่ตลาดคาดไว้ที่ 0.5% อย่างไรก็ตามเฟดกลับชี้เป้าหมายการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นสูงต่อเนื่องในปี 2023 ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางกลุ่มยูโรและอังกฤษประกาศขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นในคืนผ่านมาสูงสุดในรอบ 14-15 ปี และยังส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อไปในปี 2023