หลักทรัพย์บัวหลวงมองปีนี้ดัชนีหุ้นไทยลุ้นสูงถึง 1,625 จุด แนะเพิ่มน้ำหนักหุ้นถึง 55%

248
0
Share:
หลักทรัพย์ บัวหลวง มองปีนี้ดัชนี หุ้นไทย ลุ้นสูงถึง 1,625 จุด แนะเพิ่มน้ำหนักหุ้นถึง 55%

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ในเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่น่าจะเห็นในเดือนกันยายน ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัว จากการเพิ่มมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ แต่โอกาสที่จะเห็นการปรับลดตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียนอาจยังมีอยู่ในครึ่งหลังปีหลัง สาเหตุจากผลกระทบจากนโยบายกระตุ้นจากภาครัฐยังมีผลกระทบน้อยในปีนี้ แต่จะมีผลกระทบบวกในปีหน้าเพิ่มขึ้น

ด้านค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ เป็นผลจากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล การส่งออกที่อาจดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี ภาคท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเห็นการขับเคลื่อนที่ดีขึ้น ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออาจอยู่ในทิศทางค่อยๆ ปรับตัวลง ซึ่งเงินเฟ้อไม่ได้เป็นประเด็นกดดันมากนักต่อทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงมองเงินเฟ้ออยู่ในขาลง แม้ว่าความเสี่ยงเรื่องราคาอาหารสัตว์ ราคาเนื้อสัตว์ยังมีอยู่ แต่ราคาหมู และไก่ ก็ปรับตัวลดลงส่วนหนึ่งจากมีการนำเข้าหมูเถื่อน

มุมมองเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคมนี้ จะเคลื่อนไหวในลักษณะ “Swing แบบ Sideways” โดยมองกรอบล่างดัชนีหุ้น SET ที่ระดับ 1,500 จุด ส่วนกรอบบนดัชนีอยู่ที่ 1,625 จุด ในปัจจุบันถือว่า ดัชนีหุ้นไทยมีข้อจำกัดขาลง Downside เริ่มจำกัด สาเหตุจากปัจจัยสำคัญ คือนโยบายของรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ หากสามารถทำได้จริง ตลาดหุ้นน่าจะตอบรับในเชิงบวก

สำหรับปัจจัยภายในประเทศที่มีผลต่อการลงทุน คือเรื่องนโยบายภาครัฐ การบริหารเงิน Digital wallet หัวละ 10,000 บาท สำหรับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป ความพยายามแก้ไขกฎหมายให้มีการจัดเก็บกำไรของผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้น การเก็บภาษีซื้อขายหุ้น (Transaction Tax) การปรับค่าแรงขั้นต่ำ และนโยบายด้านพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า ซึ่งนักลงทุนน่าจับตาดูเป็นพิเศษว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถทำได้ตามที่หาเสียงไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่

ด้านการจัดพอร์ตลงทุนนั้น แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ภาคเอกชนระดับนาสลงทุน หรือ Investment Rating ในสัดส่วน 32% ทองคำ 13% ส่วนที่เหลือแนะลงทุนในตลาดหุ้น 55% ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจ คือเวียดนาม ฮ่องกง และสหรัฐฯ

กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อไปว่า กลุ่มหุ้นในประเทศไทยที่น่าสนใจในช่วงที่เหลือของปี 66 มี 3 กลุ่ม คือกลุ่มธนาคาร เนื่องจากการควบคุมความเสี่ยงได้ดี เงินกองทุน CAR ตามมาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศยังอยู่ในระดับสูง มีความมั่นคง ถือว่ามีความสมดุลย์ได้ดี ส่วนนอนแบงก์ หรือไฟแนนซ์ ที่ปล่อยกู้คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ ยังมีความเสี่ยงกับคุณภาพของลูกหนี้ จึงแนะนำชะลอการลงทุนในกลุ่มนี้

กลุ่มบริโภคภายในประเทศ จากนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านโทเคนให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอย ในแง่ผลบวกเชิงเศรษฐกิจ การหมุนเวียน การบริโภคภายในประเทศในระยะสั้นน่าจะดีขึ้น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคน่าจะดีและได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น

สุดท้าย คือกลุ่มธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า และประเทศไทยยังเด่นในด้านอาหาร Street food, spa และ services

ด้านปัจจัยต่างประเทศ คือเศรษฐกิจจีนที่ได้รับผลกระทบจากการกีดกันการค้าจากรัฐบาลสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป-อียู โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยี และผลกระทบภายในประเทศจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นฟองสบู่ และเริ่มมีปัญหาการชำระหนี้ของผู้ประกอบการใหญ่ภายในประเทศ โดยปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าไปจีนในสัดส่วนประมาณ 12% ของมูลค่าสินค้าส่งออกทั้งหมด หากรวมส่งออกจีน และประเทศที่เกี่ยวข้องกับจีนจะมีสัดส่วนกว่า 17%

“หากเศรษฐกิจจีนไม่ฟื้นตัว ตลาดหุ้นอาจเกิด Downside แต่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนยังเติบโตได้ใกล้เคียง 5.5% แต่ครึ่งปีหลังต้องออกแรงมากขึ้นในเชิงนโยบาย ไม่อย่างนั้นตัวเลขเศรษฐกิจจะชะลอต่ำกว่าเป้า เราเชื่อว่าหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงจะกระทบอาเซียน เพราะจีนเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในหลายประเทศ ทั้งในเรื่องของนักท่องเที่ยว และ การมีส่วนร่วมการบริโภคภายในอาเซียน โดยต้องจับตาในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่า จีนจะสามารถพาตัวเองฟื้นกลับมาเติบโตได้ตามเป้าหมายหรือไม่” นายชัยพร กล่าว