หอการค้าฯ มองส่งออก-ท่องเที่ยว รับอานิสงส์บาทอ่อน คาดจะกลับมาแข็งในช่วงปลายไตรมาส 4

276
0
Share:
หอการค้า ฯ มอง ส่งออก - ท่องเที่ยว รับอานิสงส์ บาทอ่อน คาดจะกลับมาแข็งในช่วงปลายไตรมาส 4

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 16 ปี โดยแตะทะลุ 37 บาทกว่าต่อดอลลาร์สหรัฐนั้น สะท้อนว่ามีเงินทุนไหลออก เพียงแต่เป็นการไหลออกจากการลงทุน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากสหรัฐมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อต้องการสกัดเงินเฟ้อ ในขณะเดียวกัน ความต่างของดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนี้ ยังดึงดูดเม็ดเงินจากประเทศต่างๆ ให้ไหลเข้าสหรัฐ ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงนี้ก็ยังถือว่าไม่อ่อนเกินไปหากเทียบกับกับหลายๆ ประเทศ และไทยก็ไม่ได้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันเท่าไรนัก เพราะประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ก็มีการอ่อนค่าลงเช่นกัน แต่ทั้งนี้ ต้องจับตามมองความเคลื่อนไหวของเฟดอย่างใกล้ชิด เพราะยังมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ และคาดว่าดอกเบี้ยจะขึ้นไปถึงประมาณ 4.5% ซึ่งจะกดดันให้ค่าเงินของประเทศต่างๆ อ่อนค่าลงอีก รวมถึงประเทศไทยด้วย

นายสนั่น กล่าวว่า แม้ว่าทิศทางของเฟด จะยังขยับดอกเบี้ยขึ้นไปอีกประมาณ 1.25% ในปีนี้ แต่บ้านเราก็ยังมีการประชุมที่เหลืออีก 2 ครั้งเช่นกัน คือในเดือนกันยายนและพฤศจิกายน ซึ่งคาดว่าจะมีการขยับดอกเบี้ยขึ้นประมาณ 0.5% แน่นอนว่าภาคเอกชนและประชาชนจะต้องมีการปรับตัว เพราะเมื่อเศรษฐกิจในประเทศเริ่มดีขึ้นแล้ว ก็จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยตามมา เชื่อว่า ธปท.จะสามารถใช้อัตราดอกเบี้ยนี้เป็นเครื่องมือควบคุมไม่ให้บาทอ่อนจนเกินไป คาดว่าปลายไตรมาสที่ 4 ค่าเงินบาทจะเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ในกรอบ 36.5-37.0 บาท

นอกจากนี้ หอการค้าไทยยังมองว่า แม้ว่าค่าเงินบาทที่อ่อนจะกระทบต่อภาคการนำเข้า แต่กลับเป็นโอกาสดีของประเทศไทยในเรื่องการลงทุนจากต่างชาติ ในขณะเดียวกัน ภาคการส่งออก ภาคเกษตร และภาคการท่องเที่ยว จะได้รับอานิสงส์ที่ดีจากสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้าย ทั้งปีน่าจะถึง 10 ล้านคน หรืออาจมากถึง 12 ล้านคน จึงมองว่า ผลกระทบจากค่าเงินบาทที่อ่อนนั้น โดยสุทธิแล้วจะยังเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย เชื่อว่าจีดีพี ไทยในปีนี้จะยังเติบโตได้ 2.75 – 3.50% ตามกรอบที่ภาคเอกชนได้คาดการณ์ไว้

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมด้านแรงงาน ในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงสายการบินที่ลดลงไปเป็นจำนวนมาก อาจเป็นอุปสรรคในการรองรับการท่องเที่ยว ดังนั้น ภาครัฐควรมีนโยบายในการเปิดประเทศที่ชัดเจน รวมไปถึงการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศควรมีนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนของต่างชาติ ส่วนไทยจะได้ประโยชน์ทั้งในด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยี รวมไปทั้งเกิดการจ้างงาน เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งหากมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามา 1 ล้านคน จะทำให้มีเงินหมุนเวียนจากการจับจ่ายใช้สอยประมาณ 5-6 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งช่วยกระตุ้นจีดีพีได้ประมาณ 2-3%