หุ้นซึมเศร้า! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดร่วงกว่า 160 จุด น้ำมันดิบโลกปิดใกล้ 80 ดอลลาร์

210
0
Share:
หุ้นซึมเศร้า! ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดร่วงกว่า 160 จุด น้ำมันดิบโลกปิดใกล้ 80 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 32,757 จุด -162 จุด หรือ -0.49% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,817 จุด -34 จุด หรือ -0.90% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 10,546 จุด -159 จุด หรือ -1.49% ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ร่วงลงถึง -1.70%, -2.08% และ -2.70% และยังเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันที่ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งปิดลงในแดนลบ

นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ยังถูกถล่มเทขายอย่างรุนแรงใน 4 วันทำการติดกันมากถึง -1,359, -200 และ -709 จุด อีกด้วย

สาเหตุจากความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับธนาคารสหรัฐอเมริกา หรือเฟดส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะยังคงต้องดำเนินการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นต่อไปอีกมากเพื่อแก้ไขภาวะเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่ที่ระดับ 2% ตามเป้าหมาย ดังนั้น เฟดจะใช้เครื่องมือต่างๆ ในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ สิ่งสำคัญ คือ เฟดปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสุดท้ายอยู่สูงกว่าระดับ 5.1%

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 75.19 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.90 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 79.80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.76 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากนักลงทุนให้น้ำหนักกับรัฐบาลจีนที่ดำเนินการผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกันโรคระบาดโควิด-19 และยังประกาศว่าจะใช้มาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจีนในปี 2023

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,797 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -5.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ -0.1% ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะกลางอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากเฟดชี้เป้าหมายการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นสูงต่อเนื่องในปี 2023 ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางกลุ่มยูโรและอังกฤษประกาศขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นในคืนผ่านมาสูงสุดในรอบ 14-15 ปี และยังส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อไปในปี 2023