อยู่ท้ายแถว!  ธนาคารโลก มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเปราะบาง สต๊อกลงทุน FDI สูงสุดในอาเซียน แต่ลงทุนใหม่ยังต่ำ

173
0
Share:

เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทยจาก ธนาคารโลก  นำเสนอข้อมูล “แนวโน้มเศรษฐกิจไทย: แนวทางในการฟื้นตัว” ว่า  จีดีพีไทยไตรมาส 3 ปี 2566 ที่ผ่านไปมีอัตราขยายตัวที่ 1.5% ต่ำกว่าที่คาดไว้  เป็นผลมาจากการส่งออกและนำเข้าที่ลดลง  โดยมีเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นแรงการขับเคลื่อนหลักๆให้จีดีพียังเติบโตได้  โดยเมื่อพิจารณาอัตราการฟื้นตัวเศรษฐกิจจะพบว่าไทยเติบโตต่ำกว่าเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนในกลุ่มที่มีศักยภาพใกล้เคียงกัน ซึ่งเพื่อนบ้านไทยมีเส้นกราฟการเติบโตที่สูงชันขึ้นจากช่วงเศรษฐกิจซบเซาจากการระบาดโควิด-19 เกิดเป็นช่วงว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับเพื่อบ้าน เฉลี่ยที่ 7-11% ของจีดีพี  ซึ่งสาเหตุหลักไม่ได้มาจากเศรษฐกิจโลกเพียงอย่างเดียวเพราะหลายประเทศในอาเซียนสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดีซึ่งตรงข้ามกับไทย 

ดังนั้นหากจะวิเคราะห์สาเหตุก็จะพบว่าไทยมีสัดส่วนการนำเข้าพลังงานสูงถึง 7% ต่อจีดีพีทำให้เมื่อราคาพลังงานสูงขึ้นเศรษฐกิจไทยจึงมีภาระดังกล่าวสูงขึ้นตามไปด้วย  นอกจากนี้ ไทยพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวสูง ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบเปราะบาง ขณะที่มาเลเซีย และอินโดนีเซียได้ประโยชน์จากราคาพลังงาน ส่วนเวียดนามได้ประโยชน์จากการอยู่ในห่วงโซ่อุปทานการผลิตของโลก และฟิลิปปินส์ ได้ประโยชน์จากการเติบโตด้านเทคโนโลยีและการขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจในประเทศ 

เศรษฐกิจไทยค่อนข้างจะต่างจากภูมิภาค เมื่อปี2566 เศรษฐกิจโลกเปราะบางเศรษฐกิจไทยก็เปราะบางด้วย ดูได้จากการส่งออกที่ชะลอตัว จากมาตรการที่สหรัฐและจีนใช้ตอบโตกัน ขณะที่FDI  (การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศแม้ไทยจะมีสต๊อกมูลค่า FDI ที่สูงที่สุดในอาเซียนแต่พบว่า FDI ไหลเข้าใหม่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาค” 

แม้คาดการณ์ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาบวกแต่ก็เป็นไปอย่างเปราะบางเพราะการส่งออกและนำเข้าที่เติบโตอย่างไม่เข้มแข็ง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวซึ่งตัวเลขนักท่องเที่ยวจากจีนหากจะให้กลับมาอยู่ในระดับเดิมต้องใช้เวลาอีก 2 ปี ทำให้ภาคการท่องเที่ยวจึงเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจในระยะกลางเท่านั้น 

ด้านเงินเฟ้อ ช่วงกลางปีที่ผ่านมาไทยมีเงินเฟ้อสูงสุดในอาเซียน จากปัจจัยราคาพลังงานแต่ปัจจุบันนี้เงินเฟ้อไทยติดลบแล้ว 2 เดือนติดต่อกัน เนื่องจากมาตรการตรึงราคาพลังงาน ทำให้หากมองไปข้างหน้าจะพบว่าเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงด้านการคลัง แม้ว่าไทยจะมีพื้นฐานการคลังที่ยั่งยืนและมีช่องว่างที่จะสามารถบริหารจัดการด้านการลงทุนได้อีกมาก 

ทั้งนี้มองว่า การเลือกการใช้นโยบายการคลังที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความท้าทายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ การพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน โดยมีกรณีสมมติฐานคือหากไทยใช้นโยบายช่วยเหลือทุกคนแบบไม่แบ่งกลุ่มอาจทำให้หนี้สาธารณะแตะระดับ 100% กรณีหากไทยไม่ทำอะไรเลยหนี้สาธารณะก็จะไม่สูงมากแต่เศรษฐกิจก็จะโตได้ในระดับเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งถือว่าแทบไม่เติบโตเลย และกรณีหากเลือกลงทุนภาคพลังงาน สังคม การศึกษา และสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการเพิ่มภาษี ก็จะทำให้จีดีพีเติบโตได้ดี และมีหนี้สาธารณะเพียง 40% ต่อจีดีพีได้ 

ฟาบริซิโอ ซาร์โคเน ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ปี 2567  คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้แต่ไม่ต่างจากปีนี้เพราะปัจจัยท้าทายต่างๆยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความขัดเเย้งภูมิรัฐศาสตร์ อัตราดอกเบี้ยสูง และเศรษฐกิจจีนที่ยังชะลอตัวจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ ราคาพลังงานที่คาดว่าจะสูง  เงินเฟ้อ อีกทั้งประเทศไทยมีการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศจะอยู่ในภาวะทรงตัว แม้การส่งออกยังมีภาวะการตึงตัวเล็กน้อย ภาวะเงินเฟ้อลดลงจากราคาพลังงาน แต่ราคาอาหารจะสูงขึ้นแต่ภาพรวมก็เติบโตได้ 3.2% จากปี 2566 ที่คาดว่าจะเติบโต 2.5%