เกียรตินาคินภัทรชี้เศรษฐกิจไทยปีนี้อ่อนแอกว่าคาดเตือน 3 ปัจจัยเคยบวกกลับพลิกเสี่ยงสูง

250
0
Share:
เกียรตินาคินภัทร ชี้ เศรษฐกิจไทย ปีนี้อ่อนแอกว่าคาดเตือน 3 ปัจจัยเคยบวกกลับพลิกเสี่ยงสูง

เคเคพี รีเสิร์ช สำนักวิจัยเศรษฐกิจ เกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า สัญญาณเศรษฐกิจหลายอย่างเริ่มชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้อ่อนแอลงกว่าที่ประเมินไว้ แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจอาจจะค่อยๆ ฟื้นตัว ทำให้ยังคงมุมมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง และไม่เท่ากัน และคาดว่าภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่การท่องเที่ยวอาจจะเผชิญความท้าทายและมีทิศทางที่ชะลอตัวลงซึ่งเกิดจาก 3 ปัจจัยหลักที่เปลี่ยนไปจากช่วงต้นปี คือ

1) รายได้จากภาคการท่องเที่ยวไม่กระจายไปภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ตามที่คาด ในปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจนถึงเดือนพฤษภาคมกลับมาได้ประมาณ 11 ล้านคน แต่สัญญาณในภาคเศรษฐกิจอื่นๆ กลับยังไม่ได้ฟื้นตัวได้ดีนัก โดยนับจนถึงปัจจุบันการบริโภคในกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่ภาคบริการยังฟื้นตัวกลับไปใกล้เคียงกับระดับก่อนโควิดเท่านั้นต่างจากประเทศพัฒนาแล้วที่การบริโภคฟื้นตัวได้ดีมาก สอดคล้องกับที่ KKP Research ประเมินว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยมีความเชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจและพื้นที่เศรษฐกิจอื่นๆ ต่ำ และครอบคลุมรายได้ของแรงงานเพียงประมาณ 11% ของประเทศเท่านั้น

2) อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น การชะลอตัวลงของการปล่อยสินเชื่อและการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในภาคธนาคารเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่อาจทำให้วัฏจักรสินเชื่อกำลังเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลง คือ 1) หนี้ครัวเรือนของไทยที่ปรับสูงขึ้นเกินกว่า 80% ของ GDP เป็นระดับที่เริ่มจะส่งผลทางลบต่อเศรษฐกิจ 2) การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยดอกเบี้ยในปัจจุบันปรับสูงขึ้นมากกว่ารายได้ และ 3) ปัญหาหนี้เสียในประเทศที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้ธนาคารเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และการเติบโตของสินเชื่อเริ่มชะลอลงโดยสินเชื่อในภาพรวมโตได้เพียง 0.6% ในไตรมาส 1 ซึ่งต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ และจะทำให้แนวโน้มการบริโภคสินค้าคงทน เช่น บ้าน รถยนต์ ชะลอตัวลงตาม

3) การเปิดเมืองของจีนไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ดีตามที่ตลาดคาดโดยตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดทั้งการบริโภคและการลงทุนของจีนมีสัญญาณชะลอตัว KKP Research ประเมินว่าการชะลอตัวนี้มีส่วนสำคัญมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ซึ่งส่งผลกระทบสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยใน 2 มิติ คือ ประการแรก นักท่องเที่ยวจีนมีความเสี่ยงสูงที่จะกลับมาได้ไม่ถึง 5 ล้านคนตามที่คาดไว้ โดยนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่ที่ออกมาเที่ยวยังเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้สูงที่เลือกเดินทางไปประเทศในแถบยุโรปมากกว่าอาเซียน ประการที่สอง การส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปีอาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดจากเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นช้า โดยยังคงประมาณการว่าการส่งออกทั้งปีของไทยจะติดลบที่ -3.1%

สำหรับเงินเฟ้อไทยที่ปรับตัวลงเร็วกว่าที่ประเมินสะท้อนเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ช้าแม้ในช่วงต้นปีจะมีความกังวลว่า ปัญหาเงินเฟ้อในประเทศไทยจะค้างอยู่ในระดับสูงจากเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้เกิดการส่งผ่านราคาจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค อย่างไรก็ตามข้อมูลในช่วงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยปรับตัวลดลงต่ำกว่าที่ประเมินไว้ค่อนข้างเร็ว

KKP Research ประเมินว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาต่ำกว่าคาดสะท้อนว่าเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศไม่ได้เติบโตได้แข็งแกร่งมากนักในช่วงที่ผ่านมาแม้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นตัวแล้วก็ตาม และมีการปรับประมาณการตัวเลขเงินเฟ้อในปี 2023 ลดลงเหลือเพียง 1.8%

แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงแสดงความกังวลด้านเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวขึ้นในอนาคต แต่เศรษฐกิจไทยที่เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนทำให้ KKP Research ประเมินว่าความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นมีน้อยและคงการคาดการณ์เดิมว่า ธปท. จะปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นได้อีกแค่ 1 ครั้งไปที่ 2.25%

ในทางตรงกันข้ามเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังสามาถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับขึ้นสูงและยาวนานกว่าที่ตลาดคาด ความแตกต่างของสถานการณ์เศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐฯ จะเพิ่มความเสี่ยงให้เงินบาทอ่อนค่าลงกว่าที่ตลาดประเมินได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 โดย 2 ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง คือ 1) ภาคการท่องเที่ยวอาจฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด 2) ทิศทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยและส่งผลต่อการคาดการณ์ของตลาด

KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงหลังจากนี้ยังต้องระวังความเสี่ยงอีกอย่างน้อย 3 เรื่องและจะทำให้เศรษฐกิจปรับตัวชะลอลงรุนแรงกว่าที่คาดได้มาก คือ

1) สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไป คือ อัตราเงินเฟ้อที่สูงและดอกเบี้ยขาขึ้น จะกระทบต่อภาวะการเงินและภาระหนี้ในไทยซึ่งอาจทำให้ไทยเข้าสู่ภาวะการลดหนี้ หรือ Deleveraging cycle

2) เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงชะลอตัว แต่จากข้อมูลในอดีตความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมากที่สุดยังมีอยู่ในช่วงกลางถึงปลายปี 2024 และจะกลับมากระทบกับภาคต่างประเทศของไทยได้

3) ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะในกรณีเลวร้าย เช่น หากมีการชุมนุมประท้วง ซึ่งจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจไทย