เขียวทุกวัน! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดขึ้นอีกกว่า 100 จุด น้ำมันดิบโลกปิดใกล้ 80 ดอลลาร์

168
0
Share:
เขียวทุกวัน! ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดขึ้นอีกกว่า 100 จุด น้ำมันดิบโลกปิดใกล้ 80 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2023 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 35,255 จุด +163 จุด หรือ +0..47% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,534 จุด -30 จุด หรือ -0.68% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 14,063 จุด -294 จุด หรือ -2.05% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดขึ้นต่อเนื่องถึง 9 วันทำการติดต่อกัน ทำสถิติยาวนานที่สุดในรอบ 5 ปีครึ่ง หรือตั้งแต่ปี 2017 และทำสถิติปิดสูงสุดในรอบ 1 ปี 3 เดือนครึ่ง หรือตั้งแต่มีนาคม 2022 เป็นต้นมา

สาเหตุจากฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยมี 38 บริษัทจากดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ประกาศผลประกอบการแล้ว ปรากฏว่าว่า 82% มีผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

ขณะที่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาคนั้น นักลงทุนยังคงมั่นใจต่อเนื่องหลังจากปลายสัปดาห์ผ่านไป กระทรวงแรงงาน สหรัฐอเมริกา ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปเดือนมิถุนายนทำสถิติเงินเฟ้อรายเดือนเพิ่มขึ้นอย่างต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่สิงหาคม 2021 นอกจากนี้ เมื่อเทียบรายปี ทำสถิติเงินเฟ้อรายปีเพิ่มขึ้นแต่น้อยที่สุดในรอบ 2 ปี 3 เดือน หรือนับตั้งแต่มีนาคม 2021 เป็นต้นมา และยังเป็นเงินเฟ้อที่ลดต่ำลงจากเดือนพฤษภาคมที่เคยเพิ่มเป็น 4.0% ด้วย

สอดคล้องกับเงินเฟ้อขั้นพื้นฐานในเดือนเดียวกัน ซึ่งตัดราคาอาหารและราคาพลังงานออกไป พบว่าทำสถิติเพิ่มขึ้นอย่างต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี หรือตั้งแต่สิงหาคม 2021 สอดรับกับเงินเฟ้อขั้นพื้นฐานในแง่รายปีที่เพิ่มขึ้นเป็น 4.8% ทำสถิติเพิ่มขึ้นอย่างต่ำที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี 9 เดือน หรือตั้งแต่ตุลาคม 2021

ตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนว่ารอบการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟดจะใกล้สิ้นสุด

นักลงทุนยังคงติดตามแนวโน้มสูงในการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่จะมีการประชุมในวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้

ขณะที่ตัวชี้วัดแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่เรียกว่า ซีเอ็มอีเฟดวอทช์ ทูล พบว่า มีโอกาส 91% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว 0.25% ในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งลดลงจากเดิมที่ให้น้ำหนัก 95% ในรอบ 24 ชั่วโมงผ่านมา ที่สำคัญ โอกาสลดดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในเดือนธันวาคมปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 75.63 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.28 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +0.4%

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 79.64 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.18 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +0.2%

ในปี 2022 ผ่านไปราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ในสหรัฐอเมริกาลดต่ำลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ นอกจากนี้ สต็อกน้ำมันดิบในครึ่งปีแรกของจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มขึ้นเกือบใกล้เคียงสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากการเพิ่มการซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซียเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดการณ์ว่าภาวะสต๊อกน้ำมันดิบโลกยังตึงตัวต่อเนื่องท่ามกลางรัสเซียลดการส่งออกน้ำมันดิบ สอดคล้องกับสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ เปิดเผยว่าในครึ่งปีหลังนี้ ภาวะตลาดน้ำมันดิบโลกจะตึงตัว สาเหตุจากความต้องการใช้น้ำมันดิบของจีนแผ่นดินใหญ่

ขณะนี้ การลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกพลัสที่เริ่มต้นในเดือนนี้ ทำให้มีปริมาณน้ำมันดิบลดลงมากกว่าวันละ 5 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็น 5% ของปริมาณผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก

ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ 1,968.84 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -8.95 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.4% ขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ระดับ 1,972 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -8.80 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.4%

เมื่อกลางเดือนเมษายนผ่านไป ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาปิดสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ 2,048.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากวิกฤตธนาคารเอสวีบี และเอสบี ปิดกิจการและถูกควบคุมโดยทางการสหรัฐอเมริกา

ย้อนกลับไปในปี 2022 ผ่านไปเมื่อเดือนมีนาคม พบว่าราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.49 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับแข็งค่าขึ้นถึง 0.6% สอดคล้องกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี กลับแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 3.80% หลังจากยอดชาวอเมริกันขอใช้สิทธิสวัสดิการช่วงว่างงานรายสัปดาห์ลดลงเหนือคาดหมาย ซึ่งทำสถิติต่ำสุดในรอบ 2 เดือน

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนให้น้ำหนักสัญญาณและแรงกดดันต่อการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในการประชุมสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะการคาดการณ์ว่ารอบการสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะเกิดขึ้นหรือไม่ และเร็วที่สุดเมื่อไร

ขณะนี้ ตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริการาว 0.25% ในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 25-26 เดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 91% ลดลงเล็กน้อยจากเมื่อวานนี้ที่ระดับ 92%