เขียวได้อีก! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดขึ้นกว่า 70 จุด น้ำมันดิบโลกปิดร่วงหลุด 78 ดอลลาร์

183
0
Share:
เขียวได้อีก! ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดขึ้นกว่า 70 จุด น้ำมันดิบโลกปิดร่วงหลุด 78 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2023 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 34,585 จุด +76 จุด หรือ +0.22% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,522 จุด +17 จุด หรือ +0.39% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 14,244 จุด +131 จุด หรือ +0.83% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดขึ้นต่อเนื่องถึง 6 วันทำการติดต่อกัน และปิดสูงสุดในรอบ 3 เดือนกว่า หรือตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมา

ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปรับเพิ่มขึ้น +2.3%, +2.4% และ +3.3% ตามลำดับ

สาเหตุจากนักลงทุนยังคงมั่นใจต่อเนื่องหลังจากปลายสัปดาห์ผ่านไป กระทรวงแรงงาน สหรัฐอเมริกา ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปเดือนมิถุนายน พบว่าเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 0.3% และทำสถิติเงินเฟ้อรายเดือนเพิ่มขึ้นอย่างต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่สิงหาคม 2021 นอกจากนี้ เมื่อเทียบรายปี หรือช่วงเดียวกันในปีผ่านมา เงินเฟ้อดังกล่าวเพิ่มขึ้นแตะ 3.0% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ระดับ 3.1% ทำสถิติเงินเฟ้อรายปีเพิ่มขึ้นแต่น้อยที่สุดในรอบ 2 ปี 3 เดือน หรือนับตั้งแต่มีนาคม 2021 เป็นต้นมา และยังเป็นเงินเฟ้อที่ลดต่ำลงจากเดือนพฤษภาคมที่เคยเพิ่มเป็น 4.0% ด้วย

สอดคล้องกับเงินเฟ้อขั้นพื้นฐานในเดือนเดียวกัน ซึ่งตัดราคาอาหารและราคาพลังงานออกไป พบว่าเพิ่มขึ้นเป็น 0.2% เทื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านี้ ทำสถิติเพิ่มขึ้นอย่างต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี หรือตั้งแต่สิงหาคม 2021 สอดรับกับเงินเฟ้อขั้นพื้นฐานในแง่รายปีที่เพิ่มขึ้นเป็น 4.8% ทำสถิติเพิ่มขึ้นอย่างต่ำที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี 9 เดือน หรือตั้งแต่ตุลาคม 2021

ตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนว่ารอบการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟดจะใกล้สิ้นสุด

นักลงทุนยังคงติดตามแนวโน้มสูงในการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่จะมีการประชุมในวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ ขณะที่ตัวชี้วัดแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ที่เรียกว่า ซีเอ็มอีเฟดวอทช์ ทูล พบว่า มีโอกาส 91% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว 0.25% ในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งลดลงจากเดิมที่ให้น้ำหนัก 95% ในรอบ 24 ชั่วโมงผ่านมา ที่สำคัญ โอกาสลดดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในเดือนธันวาคมปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 74.15 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -1.27 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -1.7% ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปิดลดลง 2 วันติดต่อกันรวม 2.74 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ สหรัฐอเมริกา พุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 78.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -1.37 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -1.7% ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปิดลดลง 2 วันติดต่อกันรวม 2.86 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในปี 2022 ผ่านไปราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่ง ปรับเพิ่มขึ้น 2%

สาเหตุจากนักลงทุนทำกำไรราคาน้ำมันดิบตลาดคที่ปรับสูงขึ้นถึง 3 วันติดต่อกัน นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกแข็งค่าขึ้นหลังจากร่วงอ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 2 เดือน หรือนับตั้งแต่เมษายนผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือไออีเอ เปิดเผยว่าในครึ่งปีหลังนี้ ภาวะตลาดน้ำมันดิบโลกจะตึงตัว สาเหตุจากความต้องการใช้น้ำมันดิบของจีนแผ่นดินใหญ่

ปัจจัยภาวะสต๊อกน้ำมันดิบทั่วโลกตึงตัวจากการที่กลุ่มโอเปกพลัสนำโดยซาอุดีอาระเบียประกาศลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจถึงวันละ 1 ล้านบาร์เรลเพิ่มเติมในเดือนสิงหาคมหลังจากเริ่มต้นลดกำลังการผลิตวันละ 1 ล้านบาร์เรลในเดือนนี้เป็นเดือนแรก สอดคล้องกับรองนายกรัฐมนตรี รัสเซีย กล่าวว่า จะลดปริมาณการผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบไปตลาดโลกวันละ 500,000 บาร์เรล มีผลในเดือนสิงหาคมนี้ ปริมาณดังกล่าวเท่ากับ 1.5% ของปริมาณซัพพลายน้ำมันดิบตลาดโลก รวมถึงอัลจีเรียประกาศลดปริมาณการผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบไปตลาดโลกวันละ 20,000 บาร์เรล มีผลในเดือนสิงหาคมด้วย

หากซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และอัลจีเรีย ลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบตามที่ประกาศไว้ในเดือนหน้าเต็มรูปแบบ ทำให้มีปริมาณน้ำมันดิบลดลงถึงวันละ 5.35 ล้านบาร์เรล และอาจเป็นไปได้ที่จะลดลงมากกว่าตัวเลขดังกล่าว เนื่องจากประเทศสมาชิกหลายแห่งในกลุ่มโอเปกพลัสยังไม่สามารถผลิตน้ำมันดิบได้ตามโควต้าการผลิตที่กำหนดไว้

ขณะนี้ การลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกพลัสที่เริ่มต้นในเดือนนี้ ทำให้มีปริมาณน้ำมันดิบลดลงมากกว่าวันละ 5 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็น 5% ของปริมาณผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก

ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ 1,954.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -3.56 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.02% ขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ระดับ 1,956.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -8.00 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.4% ยังคงอยู่ใกล้สถิติราคาทองคำปิดสูงสุดในรอบเกือบ 1 เดือนผ่านมา หรือตั้งแต่ 16 มิถุนายนผ่านมา

เมื่อกลางเดือนเมษายนผ่านไป ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาปิดสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ 2,048.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากวิกฤตธนาคารเอสวีบี และเอสบี ปิดกิจการและถูกควบคุมโดยทางการสหรัฐอเมริกา

ย้อนกลับไปในปี 2022 ผ่านไปเมื่อเดือนมีนาคม พบว่าราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.49 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับแข็งค่ามากขึ้น จากที่เคยทำสถิติอ่อนค่าต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม หรือในรอบ 2 เดือนเมื่อสุดสัปดาห์ผ่านไป สอดคล้องกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี กลับเพิ่มขึ้น

นักลงทุนกลับมาให้น้ำหนักสัญญาณและแรงกดดันต่อการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในการประชุมกลางเดือนนี้ โดยเฉพาะการคาดการณ์ว่ารอบการสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะเกิดขึ้นหรือไม่ และเร็วที่สุดเมื่อไหร่

ขณะนี้ ตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริการาว 0.25% ในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 25-26 เดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 91% ลดลงเล็กน้อยจากเมื่อวานนี้ที่ระดับ 92%