เงินบาทเปิดตลาดอ่อนค่าจากดอลลาร์แข็งค่า หลังเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ

180
0
Share:
เงินบาท เปิดตลาดอ่อนค่าจากดอลลาร์แข็งค่า หลังเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้เปิดเช้านี้ที่ระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.38 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.30-35.60 บาทต่อดอลลาร์

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า “ค่าเงินบาท” ผันผวนอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 35.30-35.50 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ หลังรายงานการประชุมเฟดล่าสุด ยังคงสะท้อนว่าเฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ นอกจากนี้เงินบาทยังถูกกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวหลังราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าแม้เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง จากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว แต่ทว่าเรามองว่าสถานการณ์การเมืองไทยที่เริ่มมีความวุ่นวายน้อยลง และแนวโน้มการโหวตเลือกนายกฯ รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลผสมใหม่ก็มีความชัดเจน ก็อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยมากขึ้นได้ โดยเฉพาะในฝั่งสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเราเริ่มเห็นแรงขายหุ้นไทยที่ชะลอลง

อย่างไรก็ดี แรงขายบอนด์อาจยังพอมีอยู่บ้าง ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ทว่าเรายังคงมองว่าผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่อาจรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น เพื่อทยอยเข้าซื้อ ทำให้แรงขายบอนด์ไทยอาจไม่ได้รุนแรงมากนัก

โดยยังคงประเมินแนวต้านเงินบาทในโซน 35.50-35.75 บาทต่อดอลลาร์ หลังการจัดตั้งรัฐบาลและการโหวตเลือกนายกฯ มีความชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาด อย่าง บรรดาผู้ส่งออกต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในจังหวะเงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้านดังกล่าว โดยเงินบาทจะยังไม่กลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน จนกว่าการโหวตเลือกนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลผสมจะเสร็จสิ้น อย่างไรก็ดี เราประเมินแนวรับเงินบาทในระยะนี้ โซนแรกจะอยู่ในช่วง 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับหลักที่สำคัญถัดไป

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน(Jobless Claims) รวมถึงรายงานดัชนี Leading Indicator ของสหรัฐฯ

ส่วนในฝั่งไทย เรามองว่า ควรจับตาสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด หลังรัฐสภาเตรียมจัดประชุมเพื่อโหวตเลือกนายกฯ อีกครั้ง ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้