เงินไหลเข้าไทย! คาดเงินลงทุนทางตรงต่างชาติเกือบ 45,000 ล้านบาทไหลเข้าไทย

685
0
Share:

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากการปรับเปลี่ยนซัพพลายเชนจากห่วงโซ่การผลิตที่มีจีนเป็นศูนย์กลาง มาเป็นห่วงโซ่การผลิตในระดับภูมิภาคกระจายทั่วโลก จะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าไทยเพิ่มขึ้นราว 1,100 – 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงปี 2564-2566 หรือเพิ่มขึ้น 0.7-0.8% จากช่วงปี 2561-2563 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อยอดที่ไทยมีซัพพลายเชนครบวงจรอยู่แล้ว

ในระยะยาวนั้น ประเทศไทยยังต้องเผชิญความท้าทายในการรักษาเม็ดเงินลงทุนต่างชาติและโอกาสในการดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติในเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีแนวโน้มลดลง ทางออกที่ยั่งยืนของไทยจึงอยู่ที่การมีเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นของตัวเอง การพัฒนาความสามารถในการสร้างนวัตกรรม และการยกระดับศักยภาพของประชากรไทยในอนาคต

.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าการระบาดของโควิดทั่วโลก และกระแสสงครามการค้าและเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้บริษัทข้ามชาติในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตระหนักถึงความเปราะบางของซัพพลายเชนโลกและหันมากระจายความเสี่ยงออกจากจีน เทรนด์โลกหลังโควิดจะทำให้เกิดกระแส Reshoring ซึ่งหมายถึงการที่เจ้าของเทคโนโลยีขั้นสูงย้ายฐานโรงงานกลับประเทศเพื่อผลิตสินค้านวัตกรรม และกระแส Diversification ซึ่งหมายถึงการสร้างฐานการผลิตและซัพพลายเชนใหม่สำหรับการผลิตสินค้ากระแสหลัก เพื่อกระจายความเสี่ยงในกรณีฉุกเฉิน

.

สำหรับประเทศไทยน่าจะได้อานิสงส์จากกระแส Diversification ในฐานะหนึ่งในทางเลือกสำหรับการสร้างฐานการผลิตใหม่ โดยในการเลือกฐานการผลิตใหม่ บริษัทข้ามชาติยังต้องพิจารณาถึง (1) ขนาดของตลาดในประเทศที่ลงทุน (2) การเข้าถึงตลาดในประเทศที่สาม ในกรณีที่ผลิตเพื่อส่งออก เพื่ออาศัยความได้เปรียบของข้อตกลงทางการค้ากับตลาดหลัก ๆ ของโลกดึงดูดเม็ดเงินลงทุน (3) ต้นทุนในการผลิต รวมถึงต้นทุนแรงงาน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบทั้งสามปัจจัยแล้ว ไทยไม่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในอาเซียนได้

.

อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีจุดแข็งในด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน และซัพพลายเชนที่ครบวงจรในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในบางประเภทสินค้า จึงทำให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วนยังคงเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน