เชียงใหม่ประกาศให้ 15 ชุมชนเขตเทศบาล เป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูงสุดจำนวน 14 วัน จนถึงวันที่ 24 พ.ย.

366
0
Share:
เชียงใหม่ ประกาศให้ 15 ชุมชนเขตเทศบาล เป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูงสุดจำนวน 14 วัน จนถึงวันที่ 24 พ.ย

นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผวจ.เชียงใหม่ ประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ กำหนดให้พื้นที่ชุมชนป่าแพ่ง-วังสิงห์คำ ,ชุมชนบ้านอุ่นอารีย์ ,ชุมชนป่าเป้า ,ชุมชนเชียงยืน (บางส่วน), ชุมชนศรีมงคล (บางส่วน), ชุมชนพัฒนาบ้านกู่เต้า ,ชุมชนช้างคลาน ,ชุมชนการเคหะหนองหอย 1 ,ชุมชนการเคหะหนองหอย 2 ,ชุมชนการเคหะเชียงใหม่ ,ชุมชนสามัคคีพัฒนา ,ชุมชนเอราวัณ ,ชุมชนศรีวิชัย ,ชุมชนคูปู่ลุน และชุมชนโลกโมฬี เป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด (Red Zone) เป็นเวลา 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 ถึงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 หลังพบมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 อย่างต่อเนื่อง โดยให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวทุกคน ต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และขอเข้ารับการฉีดวัคซีน สำหรับแรงงานต่างด้าวที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ ขอความร่วมมือให้นายจ้าง เจ้าของ สถานประกอบการ นำแรงงานต่างด้าวเข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสโควิด-19 และเข้ารับบริการฉีดวัคซีนฯ ทุกคน พร้อมขอความร่วมมือให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ งดการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว โดยไม่มีเหตุจำเป็น และให้ประชาชนในพื้นที่งดการเดินทางออกนอกชุมชน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เว้นแต่มีเหตุจำเป็น

นอกจากนี้กิจการต่างๆ ให้เปิดดำเนินการได้ ตามเงื่อนไขดังนี้ ร้านสะดวกซื้อ ตลาด เปิดได้ตามปกติแต่ไม่เกิน 22.00 น. // ร้านอาหารให้จำกัดจำนวนลูกค้า โดยร้านที่มีเครื่องปรับอากาศให้นั่งได้ ร้อยละ 50 ร้านที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศให้นั่งได้ร้อยละ 75 เปิดให้บริการได้ไม่เกิน 22.00 น. // งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน และพื้นที่ต่อเนื่อง // ร้านเสริมสวย ร้านนวด สปา ร้านสัก เปิดให้บริการได้ตามเวลาปกติ แต่ไม่เกินเวลา 22.00 น. ส่วนบริการอบไอน้ำยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ // พร้อมทั้งให้งดจัดกิจกรรมรวมกลุ่มต่าง ๆ เช่น การจัดตลาดนัด งานเลี้ยงสังสรรค์ เป็นต้น

ทั้งนี้ให้ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรคเทศบาลนครเชียงใหม่ ดำเนินการจัดระเบียบ ระบบ และควบคุมติดตามผู้ที่เดินทางเข้า- ออก ชุมชนต่างๆ ให้เหมาะสมสภาพพื้นที่ หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558