เทไม่หยุด! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดร่วงกว่า 100 จุด น้ำมันดิบโลกปิดเหนือ 90 ดอลลาร์

289
0
Share:
เทไม่หยุด! ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดร่วงกว่า 100 จุด น้ำมันดิบโลกปิดเหนือ 90 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 30,075 จุด -107 จุด หรือ -0.35% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,757 จุด -31 จุด หรือ -0.54% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,066 จุด -153 จุด หรือ -1.37%

สาเหตุจากเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ผลการประชุมการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ทำสถิติการขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% ที่ยาวนานในประวัติศาสตร์ของเฟด และเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนมีนาคมของปีนี้ ส่งผลอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาอยู่ระหว่าง 3.00-3.25% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี หรือนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจสถาบันการเงินล่มสลายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2018

นักวิเคราะห์ประเมินว่าอาจทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะขึ้นไปถึงระดับ 4.25-4.50% สิ้นสุดปีนี้ ที่สำคัญ เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวถึงระดับ 4.50-4.75% ในปี 2566

นอกจากนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นกว่า 1% ขึ้นแตะระดับ 11.63 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปีครั้งใหม่ หลังจากที่เคยขึ้นไปถึงระดับ 110.79 ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐทะยานแข็งค่ามากถึง 16% ตั้งแต่ต้นปีนี้

ด้านผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 2 ปี พุ่งกระฉูดขึ้นแตะระดับ 4.163% ทำสถิติสูงสุดระหว่างวันครั้งใหม่ในรอบ 15 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2007 หรือนับตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจสถาบันการเงินล่มสลายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2008 ก่อนจะอ่อนตัวลงมาปิดที่ 4.137% ซึ่งยังคงกลายเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 15 ปี สอดคล้องกับผลตอบแทนพันธบัตรดังกล่าวอายุ 10 ปี พุ่งทะยานขึ้นแตะระดับ 3.69% ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 11 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2011 สะท้อนแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดที่สูงขึ้น และทรงตัวในระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น

ขณะที่ ตัวชี้วัดโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่เรียกว่า ซีเอ็มอี เฟดวอท์ช พบว่า ขณะนี้มีโอกาส 75% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% จากก่อนหน้านี้ที่มีโอกาส 25% นอกจากนี้ โอกาสขึ้นเป็น 17% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นถึง 1.00% ในการประชุมที่เหลืออีก 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นในพฤศจิกายน และธันวาคม

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 83.49 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.55 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +0.7% ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 90.46 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.63 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +0.7% ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากสถานการณ์รัสเซียที่ผู้นำสูงสุดสั่งเพิ่มกำลังทหารจำนวน 300,000 นายเข้าพื้นที่สู้รบในประเทศยูเครน กลุ่มสหภาพยุโรปกำลังพิจารณามาตรการจำกัดเพดานราคาน้ำมันดิบรัสเซีย ความต้องการใช้น้ำมันดิบในจีนแผ่นดินใหญ่กระเตื้องขึ้น รวมถึงธนาคารกลางอังกฤษขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นน้อยกว่าที่คาดไว้

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,680.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +0.3% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ราคาทองคำล่วงหน้าดำดิ่งลงปิดต่ำกว่า 1,680 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 4 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่อเมษายนปี 2020 เป็นต้นมา ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากนักลงทุนกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซียกับยูเครนที่จะปะทุความรุนแรงครั้งใหม่หลังจากประธานาธิบดีรัสเซียแถลงเคลื่อนพลราว 300,000 คน เข้าเสริมกองทัพรัสเซียในยูเครน ถึงแม้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งแข็งค่ามากขึ้น และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะ 2 ปี และ 10 ปี พุ่งสูงขึ้นรับการประชุมของเฟดกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นถึง 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน