แบงก์ชาติเปิดผลสำรวจแบงก์รัฐ หนี้เสียท่วมหนี้ค้างชำระสูง พบเก็บค่าธรรมเนียมไม่เป็นธรรม

221
0
Share:
แบงก์ชาติเปิดผลสำรวจ แบงก์รัฐ หนี้เสีย ท่วมหนี้ค้างชำระสูง พบเก็บค่าธรรมเนียมไม่เป็นธรรม

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้สำรวจสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หรือแบงก์รัฐ ปี 2566 และแนวทางการตรวจสอบปี 2567 โดยระบุว่าเสถียรภาพของระบบการเงินไทยในปัจจุบันพบว่าความสามารถในการชำระหนี้โดยรวมลดลง โดยเฉพาะครัวเรือน และธุรกิจบางกลุ่มยังเปราะบาง โดยเฉพาะลูกหนี้แบงก์รัฐ และลูกหนี้จากธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือนอนแบงก์

ในส่วนของแบงก์รัฐ พบว่าคุณภาพรายย่อยน่าเป็นห่วง โดยหนี้เสียและหนี้ค้างชำระ แต่ไม่เกิน 90 วัน (SM) ยังอยู่ระดับสูง โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของแบงก์รัฐ สิ้นปี 2566 ยังอยู่ระดับสูงที่ 4.25% และ SM อยู่ที่ 7.65% ถือว่าสูงกว่าอดีต โดยหากดูความคืบหน้า ในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ภายใต้มาตรการช่วยเหลือ สิ้นปีก่อนมียอดภาระหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือโดยรวมอยู่ที่ 3.52 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นลูกหนี้จากธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์ 1.89 ล้านล้านบาท ส่วนอีก 1.63 ล้านล้านบาท มาจากลูกหนี้แบงก์รัฐ สอดคล้องกับจำนวนบัญชี ที่ขอรับความช่วยเหลือ โดยรวมอยู่ที่ 6.37 ล้านบัญชี ในจำนวนนี้เป็นลูกหนี้แบงก์รัฐมากที่สุดถึง 3.73 ล้านบัญชี

ส่วนลูกหนี้ด้อยคุณภาพแบงก์รัฐ ตั้งแต่ ปี 2565-2566 พบว่ามีจำนวนมากขึ้น หากดูจำนวนบัญชีลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หรือกลุ่มรหัส 21 จะเห็นว่าอยู่กับแบงก์รัฐถึง 70% และเป็นหนี้จากนอนแบงก์ 20% และธนาคารพาณิชย์ 10% จากลูกหนี้ ในรหัส 21 ทั้งหมด ที่มีประมาณ 3.72 แสนล้านบาท สอดคล้องกับข้อมูลลูกหนี้ ในระบบของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือเครดิตบูโร ที่พบว่ากลุ่มลูกหนี้ SM ปัจจุบันอยู่ที่ 6.1 แสนล้านบาท มาจากหนี้เสียบ้านถึง 29% และในสินเชื่อบ้าน 68% หรือ 1.2 แสนล้านบาทเป็นลูกหนี้แบงก์รัฐ

ในส่วนของการตรวจสอบแบงก์เฉพาะกิจ ในปี 2566 จากฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ฝ่ายกำกับและตรวจสอบความเสี่ยงด้านไอที ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน จากการตรวจสอบในด้านความเสี่ยงในธุรกรรมที่มีนัยสำคัญ เช่น เงินกองทุน ความสามารถในการหารายได้ ประสิทธิภาพการดำเนินงาน ธรรมาภิบาลและการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางการ การดำเนินการตามพันธกิจ และการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม โดยการจัดกลุ่มเป็นเขียว เหลือง ส้ม แดง โดยระดับสีส้ม และแดง ถือว่ามีระดับคะแนนในระดับอ่อน และอ่อนมาก

ผลสำรวจพบว่าแบงก์โดยรวมยังมีความอ่อนแอด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market conduct) โดยได้คะแนนเหลือง ส้ม สะท้อนถึงการให้บริการที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ ที่ยังไม่เข้มงวดและรัดกุมเพียงพอ ทั้งในด้านการบังคับขาย การขายไม่ตรงกับความต้องการลูกค้า การควบคุมการขายไม่ตรงจุด บทลงโทษไม่เข้มงวด ขณะที่การขอความยินยอมการเปิดเผยข้อมูลลูกค้ายังไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และการบันทึกความยินยอมไม่ถูกต้องตามประสงค์ลูกค้า

ส่วนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสินเชื่อรายย่อยยังไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ส่งผลกระทบต่อลูกค้า 4 แสนบัญชี หรือประมาณ 604 ล้านบาท และยังมีปัญหาจากการเปิดเผยค่าธรรมเนียมไม่เป็นปัจจุบัน ซึ่งต้องเร่งปรับปรุงค่าตอบแทน และการควบคุมคุณภาพการขาย การเยียวยาลูกค้ามากขึ้น

สำหรับแนวทางการตรวจสอบแบงก์รัฐปี 2567 สิ่งที่ธปท.คาดหวังที่จะเห็นมากขึ้น คือ ฐานะการเงินเข้มแข็งและเงินกองทุนมั่นคง การบริหารจัดการหนี้ครบวงจร สอดคล้องกับศักยภาพที่แท้จริงของลูกหนี้ รวมถึงการกำกับและการติดตามเข้มงวดและยกระดับ three line of defense ขณะที่ระบบ IT ต้องรองรับการเปลี่ยนแปลง และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ และแบงก์รัฐสามารถเป็นกลไกการส่งผ่านตามพันธกิจ

สิ่งที่ ธปท.โฟกัส คือ การยกระดับการกำกับแบงก์รัฐ (Oversight function) การเพิ่มการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลที่หลากหลายมากขึ้น และความพร้อมการปฏิบัติตาม TERS9 และการปล่อยสินเชื่ออย่างเป็นธรรมและรับผิดชอบตามเกณฑ์ ธปท. (Responsible Lending) โดยแนวทางการกำกับและตรวจสอบของ ธปท. ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามพันธกิจและการให้สินเชื่อ ควบคู่กับการดูแลด้านสินเชื่อ และการกันเงินสำรอง และฐานะการเงิน รวมทั้งการติดตามการบริหารจัดการหนี้ โดยเฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่ธปท.ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกันระหว่างแบงก์รัฐ โครงการค้ำประกันสินเชื่อร่วมกันของแบงก์รัฐ และการใช้ระบบตรวจสอบภายใน

ในส่วนของการกำกับด้าน IT และการให้บริการทางการเงินที่ต้องผลักดันข้อสังเกตสำคัญให้สำเร็จ เช่น การโฆษณา เสนอขายผลิตภัณฑ์สินเชื่อ และการใช้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ต้องไม่กระตุ้นการก่อหนี้เกินควร และไม่กระตุกพฤติกรรมลูกค้า ขณะที่การตรวจสอบเชิงรุก ต้องใช้เทคโนโลยีมากขึ้นในการแก้ปัญหา และขยายผลจากเรื่องร้องเรียน การสื่อสารกับผู้ใช้บริการใกล้ชิด และการสั่งการแบบ Proactive ติดตามการปรับปรุงการบริหารจัดการอย่างเข้มงวด