แบงก์ชาติเผยจบมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูพักทรัพย์ พักหนี้ปล่อยสินเชื่อ รวมกว่า 347,739 ล้าน

131
0
Share:

เมื่อวันที่ 9 เมษายน นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธปท. ได้ออกมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู (รวมสินเชื่อเพื่อการปรับตัว) และโครงการพักทรัพย์ พักหนี้เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเป็นระยะเวลา 2 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 และได้ขยายระยะเวลาเฉพาะส่วนของมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู (โดยเพิ่มส่วนของสินเชื่อเพื่อการปรับตัวเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีในการปรับปรุง พัฒนา และเสริมศักยภาพธุรกิจ) ออกไปอีก 1 ปี ซึ่งครบกำหนดแล้วในวันที่ 9 เมษายน 2567

โดยภายใต้มาตรการดังกล่าว ธปท. ได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อสำหรับโครงการสินเชื่อฟื้นฟู (รวมสินเชื่อเพื่อการปรับตัว) และโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ให้กับลูกหนี้รวมทั้งสิ้น 67,725 ราย เป็นวงเงินสินเชื่อ 347,739 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 99.4% ของวงเงินรวมที่ตั้งไว้ที่ 350,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดการอนุมัติสินเชื่อแต่ละประเภท ดังนี้

1. สินเชื่อฟื้นฟู (รวมสินเชื่อเพื่อการปรับตัว) ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจจำนวน 67,225 ราย รวมทั้งสิ้น 273,625 ล้านบาท โดยมีวงเงินอนุมัติเฉลี่ยต่อราย 4 ล้านบาท ซึ่งการให้สินเชื่อกระจายตัวดีทั้งในมิติของขนาด ประเภทธุรกิจ และภูมิภาค โดยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 72 เป็นผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็กที่มีวงเงินสินเชื่อเดิมกับสถาบันการเงินต่ำกว่า 50 ล้านบาท และ 69% อยู่ในภูมิภาคต่างๆ นอกกรุงเทพและปริมณฑล ในจำนวนนี้เป็นการให้สินเชื่อเพื่อการปรับตัว 11,162 ล้านบาท แก่ผู้ประกอบธุรกิจ 693 ราย วงเงินอนุมัติเฉลี่ยต่อราย 16 ล้านบาท โดยวงเงินส่วนใหญ่ 65% เป็นสินเชื่อเพื่อการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การลงทุนระบบประหยัดพลังงาน รองลงมา 18% เป็นด้านนวัตกรรม และ 17% เป็นด้านดิจิทัลเทคโนโลยี

2. สินเชื่อโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ 500 ราย วงเงินรวม 74,114 ล้านบาท จากวงเงินที่ตั้งไว้ 100,000 ล้านบาท โดยวงเงินส่วนที่เหลือได้โอนไปเป็นวงเงินเพิ่มให้สินเชื่อฟื้นฟูตามข้อ 1 ข้างต้น

ทั้งนี้ ภายใต้เศรษฐกิจปัจจุบันที่การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง ธปท. จะยังมีมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะต่อไป