ใครบอก 100 ดอลล์! ราคาน้ำมันดิบโลกจะพุ่งอีก 45% แตะ 120 ดอลลาร์ในกลางปีหน้า

ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบโลกตึงตัวในปัจจุบันจะยังคงมีผลต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งแนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลาดโลกโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ จะเคลื่อนไหวเพิ่มสูงขึ้นไปถึงระดับ 120 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ภายในกลางปี 2565 หรือพุ่งสูงขึ้นอีก 45% จากราคาในปัจจุบัน

นายฟรานซิสโก แบลนช์ หัวหน้าฝ่ายสินค้าโภคภัณฑ์โลก ธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ง่ายมากๆสำหรับราคาน้ำมันดิบที่จะพุ่งสูงต่อไป เมื่อความต้องการบริโภคน้ำมันดิบตึงตัวอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน นอกจากนี้ ปัจจัยเกี่ยวกับความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มชัดเจนว่าพุ่งสูงต่อเนื่องข้ามปี สาเหตุจากการเปิดประเทศสหรัฐอเมริกาให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเพิ่มอย่างรวดเร็วขึ้น

สิ่งสำคัญต่อมา คือราคาก๊าซธรรมชาติมีราคาแพงเป็นประวัติการณ์ในปัจจุบัน โดยมีราคาทะยานขึ้นกว่า 2 เท่าในปีนี้ จะเห็นได้จากราคาก๊าซธรรมชาติพุ่งขึ้นไปที่ระดับ 240 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในตลาดฝั่งยุโรป ส่งผลให้ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าและอื่นๆ เปลี่ยนไปใช้น้ำมันดิบมาผลิตแทน

ในฝั่งผู้ผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มโอเปกพลัส มองว่า ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่เหมะสมกับต้นทุนเฉลี่ยในการผลิตน้ำมันดิบควรจะอยู่ระหว่าง 70-75 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบันพึ่งจพมีราคาทะยานขึ้นมาได้ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ผ่านมา ท่ามกลางราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทะยานขึ้นมาถึง 67% นับตั้งแต่ต้นปีนี้

ขณะที่เมื่อคืนที่ผ่านมาที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 81.17 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.74 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -3.3% ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 82.33 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.41 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -2.8%

สาเหตุจากตัวเลขปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ในสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 3.3 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่คาดหมายไว้ที่ 1.6 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ นักลงทุนรอติดตามผลการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งมีการประเมินจากตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ คาดว่ากลุ่มโอเปกพลัสจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมติของกลุ่มในการคงกำลังการผลิตน้ำมันดิบรายเดือนต่อไป