ไทยถูกตัดสิทธิ GSP จากสหรัฐ ทำต้นทุนสินค้าที่เข้าข่ายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3.1%

847
0
Share:

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) รายงานว่า หลังจาก United States Trade Representative (USTR) ได้ประกาศตัดสิทธิ GSP กับสินค้าไทยเพิ่มเติม 231 รายการ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2020 โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป โดยรายการสินค้าไทยที่จะถูกตัดสิทธิในครั้งนี้ครอบคลุมมูลค่าราว 817 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 25,000 ล้านบาท (0.3% ของมูลค่าการส่งออกรวม)
.
โดย USTR กล่าวหาว่าการเปิดตลาดเนื้อสุกรของไทยที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากไทยมีความกังวลด้านการปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงแรคโตพามีนทำให้มีมาตรการกีดกันการนำเข้าเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์จากสหรัฐฯ

EIC คาดผลกระทบที่เกิดจากการตัดสิทธิ GSP ในรอบนี้ต่อการส่งออกไทยในภาพรวมมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจาก
.
1) สินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ที่จะถูกตัดสิทธิ GSP คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 0.2% ต่อการส่งออกรวม โดยจากรายการสินค้าที่ไทยโดนตัดสิทธิในรอบนี้ที่มี 231 รายการ มีเพียง 147 รายการที่ไทยมีการใช้สิทธิ GSP จริง ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ รวมที่ 817 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ทั้งที่ใช้และไม่ใช้สิทธิ GSP) แต่มูลค่าส่งออกที่ใช้สิทธิ GSP จริงมีเพียง 602 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเพียง 0.2% ของการส่งออกรวมเท่านั้น
.
2) สินค้าที่จะโดนตัดสิทธิ GSP จะมีต้นทุนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 3.1% ซึ่งจะกระทบต่อยอดขายไม่มากนัก โดยการตัดสิทธิ GSP จะทําให้สินค้าส่งออกที่โดนตัดสิทธิถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมในช่วง 0% ถึง 12.5% แล้วแต่ประเภท
.
สินค้า ซึ่งมีค่าเฉลี่ยถ่วงนํ้าหนักของอัตราภาษี (weighted effective tax rate) ที่จะถูกจัดเก็บเพิ่มเติมอยู่ที่ 3.1% หรือคิดเป็นมูลค่าภาษีที่ต้องจ่ายประมาณ 18.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้หากมีสมมติฐานให้ธุรกิจส่งผ่านภาษีที่เพิ่มขึ้นแก่ผู้บริโภคทั้งหมด โดยที่ปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อราคาสินค้าส่งออกไทยนั้นไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลง (เช่นค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) จะทำให้สินค้าไทยแพงขึ้นโดยเฉลี่ย 3.1%
.
จากงานศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เคยสรุปไว้ว่าค่าความยืดหยุ่นด้านราคาของสินค้าส่งออกไทย (price elasticity) มีค่าในช่วง 0.3% – 0.6% ทําให้ได้ข้อสรุปว่ายอดขายสินค้าส่งออกไทยที่จะโดนตัดสิทธิ GSP มีแนวโน้มลดลงประมาณ 0.001% – 0.003% ต่อการส่งออกรวมทั้งหมด (ราว 3.2 – 6.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
.
ทั้งนี้ผลกระทบต่อสินค้าแต่ละประเภทจะมีมากน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยความยืดหยุ่นต่อราคา โดยหากสินค้าที่โดนตัดสิทธิเป็นสินค้าที่ถูกทดแทนได้ง่ายหรืออาจไม่ค่อยเป็นที่นิยมในตลาดสหรัฐฯ (มีความยืดหยุ่นต่อราคาสูง : high price elasticity) ผลกระทบจะมีค่อนข้างมาก ผู้ส่งออกจึงอาจต้องยอมลดราคาสินค้าก่อนรวมภาษีนําเข้าของทางสหรัฐฯ เพื่อให้ราคาขายที่รวมภาษีแล้วเพิ่มเล็กน้อยซึ่งจะทําให้กําไรต่อหน่วยลดลง
.
ในทางกลับกัน หากสินค้าที่โดนตัดสิทธิเป็นสินค้าที่ถูกทดแทนได้ยากหรือเป็นที่นิยมในตลาดสหรัฐฯ (มีความยืดหยุ่นต่อราคาตํ่า : low price elasticity) ผลกระทบก็อาจมีจํากัด
.
นอกจากนี้ หากวิเคราะห์โดยละเอียด พบว่าสินค้าที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ ผักดองเปรี้ยว, ผักแห้ง, ไฟประดับต้นคริสมาสต์, ปิโตรเรซิน, ซิลิคอน, ภาชนะอะลูมิเนียมทรงกระบอก, โลหะสำหรับยึดและติดตั้ง, ประแจ และตะปูควง
.
แม้ว่าผลกระทบจากการโดนตัดสิทธิ GSP เพิ่มเติมจะมีไม่มากนัก แต่จากผลกระทบสะสมของการโดนตัดสิทธิ GSP ในรอบก่อนหน้า รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังซบเซาและมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า ประกอบกับกระแสการปกป้องทางการค้า (Trade Protectionism) ที่เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า และทำให้ผู้ประกอบการไทยจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่อที่จะสามารถแข่งขันในตลาดโลกต่อไปได้
.
โดยแม้ว่าผลกระทบจากการตัดสิทธิในรอบนี้จะมีไม่มากตามรายละเอียดในช่วงต้น แต่หากรวมกับสินค้าที่โดนตัดสิทธิในรอบก่อนหน้า พบว่ามีมูลค่าที่โดนตัดสิทธิรวมที่ 1.92 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 0.8% ของการส่งออกรวม ซึ่งทำให้มูลค่าส่งออกของไทยที่ได้รับสิทธิ GSP หายไปกว่า 40% ของมูลค่าที่ได้รับสิทธิ GSP ในปี 2562
.
ประกอบกับเศรษฐกิจโลกของปีนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก COVID-19 และยังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในระยะข้างหน้า นโยบายการปกป้องทางการค้า (Protectionism) ที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ผ่านมาตรการกีดกันทางการค้าจากการขึ้นภาษี การยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษี และมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers)
.
รวมถึงการแข็งค่าสะสมของเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง (Nominal Effective Exchange Rate : NEER ซึ่งแข็งค่าถึง 18.6% นับตั้งแต่ปี 2014 จนถึง ตุลาคม 2020) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า และทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องตระหนักถึงความเสี่ยงรอบด้านที่มีในอนาคต