ไทยฟื้นตัววิกฤตโควิด-19 ช้า ติดกลุ่มรั้งท้ายของโลก รายได้ต่ำ 15,000 ติดสารพัดกับดัก

137
0
Share:
เศรษฐกิจไทย ฟื้นตัววิกฤต โควิด-19 ช้า ติดกลุ่มรั้งท้ายของโลก รายได้ต่ำ 15,000 ติดสารพัดกับดัก

ศูนย์วิจัย SCB EIC ธนาคารเอสซีบี(ไทยพาณิชย์) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยเพิ่งกลับไปแตะระดับก่อนโควิดเมื่อสิ้นปี 2023 นับว่าไทยเป็นประเทศที่ฟื้นจากวิกฤตโควิดช้าติดกลุ่มรั้งท้ายในโลก มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตช้าตามระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยที่ลดต่ำลงหลังโควิด สะท้อนปัญหาหนี้ครัวเรือน สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยเร่งสูงขึ้นมากตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด ติดอันดับ 1 ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และติดอันดับ 7 ของโลก จากข้อมูลธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ ณ ไตรมาส 2 ปี 2023

สาเหตุหลักเกิดจากความไม่พร้อมด้านรายได้ของคนไทยที่ฟื้นช้าและไม่ทั่วถึง คนกลุ่มบนจำนวนน้อยรายได้ฟื้นเร็วและโตดี ในขณะที่คนกลุ่มล่างจำนวนมากยังฟื้นช้า โตต่ำ และกำลังเผชิญปัญหาทางการเงินในทุกมิติ ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย ภาระหนี้ และเงินออม โดยกลุ่มครัวเรือนที่รายได้ฟื้นช้าไม่พอรายจ่าย ส่วนใหญ่ทำงานในภาคการผลิตมูลค่าไม่สูง คือ ภาคเกษตร (50%) และภาคบริการ (30%) มีหัวหน้าครัวเรือนอายุมากคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% และเรียนจบต่ำกว่าชั้นมัธยมคิดเป็นสัดส่วนถึง 75%

ความไม่พร้อมด้านรายได้ของคนไทยเกิดขึ้นในกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของประเทศ สาเหตุหลักของความไม่พร้อมด้านรายได้ของคนไทยมาจากผลิตภาพแรงงานที่ปรับลดลงเกือบทุกสาขาการผลิตและยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด โดยแรงงานภาคเกษตรมีผลิตภาพต่ำสุด นอกจากนี้ สัดส่วนแรงงานนอกระบบของไทยยังสูงมากถึง 51% (ปี 2022) ส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตร ภาคบริการและการค้า ซึ่งมีผลิตภาพไม่สูง

ผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2023 (สำรวจ ณ 20 ต.ค. – 3 พ.ย 2023 จำนวนตัวอย่าง 2,189 คน) พบว่า

(1) กลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยยังมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายอยู่มาก และมีแนวโน้มเผชิญปัญหาหนี้สินเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายสูงสุดถึง 73% และส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนี้ราว 70% มีภาระหนี้เพิ่มขึ้นเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤต อีกทั้ง แนวโน้มข้างหน้ามีความจำเป็นต้องกู้มากขึ้น ส่วนใหญ่จะพึ่งพาเงินกู้นอกระบบมากขึ้น และการกู้ไปชำระหนี้กลายเป็นวัตถุประสงค์หลักของการกู้เงิน

(2) กลุ่มคนรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนกว่าครึ่งหนึ่งประสบปัญหาค้างชำระหนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลจากทั้งรายได้ลดลงมากและค่าใช้จ่ายของครัวเรือนสูงขึ้น คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าคนกลุ่มอื่น ส่งผลให้กันชนทางการเงินของกลุ่มคนรายได้น้อยลดลงมากตามการออมที่ลดลงตั้งแต่เกิดโควิด โดยราว 70% ของคนกลุ่มนี้ไม่มีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน หรือสามารถอยู่ได้ไม่เกิน 1-3 เดือนหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นทำให้ขาดรายได้ สะท้อนความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนในการรองรับปัจจัยไม่คาดคิดในอนาคต

(3) พฤติกรรมการชำระหนี้ของกลุ่มคนรายได้น้อยไม่ค่อยดีนัก โดยกว่าครึ่งมีการจ่ายชำระหนี้แค่ขั้นต่ำ หรือจ่ายหนี้ไม่เต็มจำนวน หรือผิดนัดชำระหนี้เป็นบางครั้ง กลุ่มคนรายได้น้อยยังมองว่าสถานการณ์หนี้สินของตนมีแนวโน้มปรับแย่ลงมากกว่าปรับดีขึ้นในช่วง 1 ปีข้างหน้า

SCB EIC ประเมินว่ากลุ่มครัวเรือนรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนจะยังมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายนานกว่า 3 ปี โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้ไม่ถึง 7,000 บาทต่อเดือนที่จะเผชิญปัญหานี้ต่อเนื่องนานยิ่งกว่านั้น เป็นสัญญาณว่ากลุ่มครัวเรือนระดับล่างยังเปราะบางและมีแนวโน้มจะเป็นหนี้อีกนาน