ไทยเสี่ยงโลกร้อนอันดับ 9 ของโลก เอลนีโญทำ 3 พืชเกษตรเสียหายยับกว่า 120,000 ล้าน

264
0
Share:
ไทย เสี่ยง โลกร้อน อันดับ 9 ของโลก เอลนีโญ ทำ 3 พืชเกษตรเสียหายยับกว่า 120,000 ล้าน

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ กรุงไทย หรือ Krungthai Compass เปิดเผยว่า ไทยมีความเสี่ยงสูงจากปัญหา Climate Change และความเสี่ยงดังกล่าวเริ่มส่งผลกระทบต่อไทยชัดเจนมากขึ้น โดยจากข้อมูลจาก Global Climate Risk 2021 ชี้ว่า ไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอันดับที่ 9 จาก 180 ประเทศทั่วโลก จึงมีโอกาสสูงที่จะเผชิญกับปัญหาสภาพอากาศที่สูงขึ้นกว่าปกติและสภาพอากาศสุดขั้ว

ภาคเกษตรเป็น Sector ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากปัญหา Climate Risk ชัดเจนกว่า Sector อื่น โดยภาคเกษตรใช้น้ำคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 77% ของการใช้น้ำในแต่ละปีของไทย ทั้งนี้ ความต้องการใช้น้ำในแต่ละปีของไทยอยู่ที่ราว 147,747 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แบ่งเป็น การใช้น้ำสำหรับภาคเกษตรที่ 113,961 ล้าน ลบ.ม. (สัดส่วน 77% ของการใช้น้ำทั้งหมด) รองลงไปคือ การใช้เพื่อระบบนิเวศ 27,090 ล้าน ลบ.ม. (19%) การใช้เพื่อการท่องเที่ยวและอุปโภคบริโภคที่ราว 4,783 ล้าน ลบ.ม. (3%) และใช้สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ราวปีละ 1,913 ล้าน ลบ.ม. (1%) โดยผู้เล่นในภาคเกษตรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย ทำให้มีข้อจำกัดในการปรับตัวด้านการบริหารจัดการน้ำ อีกทั้งพื้นที่เพาะปลูกของไทยอยู่นอกพื้นที่ชลประทานถึง 78% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ปรากฎการณ์เอลนีโญในรอบนี้คาดว่าจะทำให้ 3 พืชในภาคเกษตรกรรมสำคัญ ได้แก่ ข้าว อ้อย และมันสำปะหลังได้รับความเสียหายรวมกันอยู่ที่ราว 16,000-126,000 ล้านบาท โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์เอลนีโญซึ่งมีสมมติฐานในแต่ละกรณีดังนี้

กรณีพื้นฐาน ภาวะฝนทิ้งช่วงตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566 ไปจนถึงกลางปี 2567 โดยผลผลิตข้าวนาปี อ้อย และมันสำปะหลัง คาดว่าจะได้รับผลกระทบตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 และจะทวีความรุนแรงในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 คาดว่าผลผลิตข้าว อ้อยและมันสำปะหลังจะได้รับความเสียหายพอสมควร ส่งผลให้มีมูลค่าความเสียหายรวม 53,215 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) ข้าวได้รับความเสียหายมากที่สุดประมาณ 3.2 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายราว 28,422 ล้านบาท 2) อ้อยได้รับความเสียหายประมาณ 15.8 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายราว 16,906 ล้านบาท และ 3) มันสำปะหลังได้รับความเสียหายประมาณ 2.9 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายประมาณ 6,931 ล้านบาท

กรณีดีที่สุด ภาวะฝนทิ้งช่วงกินเวลาไม่นาน ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566 และจะคลี่คลายภายในต้นปี 2567 ทำให้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ผลผลิตข้าวนาปี อ้อย และมันสำปะหลัง ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนยังมีเพียงพอ ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 คาดว่าผลผลิตข้าวนาปรัง อ้อยและมันสำปะหลังจะได้รับผลกระทบน้อย เพราะเอลนีโญอ่อนกำลังลง ส่งผลให้มีมูลค่าความเสียหายรวม 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) ข้าวได้รับความเสียหายมากที่สุดประมาณ 0.4 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายราว 3,594 ล้านบาท 2) อ้อยได้รับความเสียหายประมาณ 5.8 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายราว 6,206 ล้านบาท และ 3) มันสำปะหลังได้รับความเสียหายประมาณ 2.6 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายประมาณ 6,196 ล้านบาท

กรณีเลวร้ายสุด ภาวะฝนทิ้งช่วงลากยาวตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566 ไปจนถึงปลายปี 2567 โดยผลผลิตข้าวนาปี อ้อย และมันสำปะหลัง จะได้รับผลกระทบตั้งแต่ปลายปี 2566 ประกอบกับในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 คาดว่าผลผลิตข้าวนาปรัง อ้อยและมันสำปะหลังจะได้รับความเสียหายพอสมควร จากปริมาณน้ำต้นทุนที่ลดต่ำลงมาก นอกจากนี้ ยังสร้างความเสียหายต่อเนื่องไปถึงการปลูกข้าวนาปีในช่วงครึ่งปีหลังของ ปี 2567 ซึ่งเป็นผลผลิตข้าวส่วนใหญ่คิดเป็นกว่า 80% ของผลผลิตข้าวรวมทั้งปี ส่งผลให้มีมูลค่าความเสียหายรวม 126,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) ข้าวได้รับความเสียหายมากที่สุดประมาณ 7.5 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายราว 67,484 ล้านบาท 2) อ้อยได้รับความเสียหายประมาณ 25.8 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายราว 27,606 ล้านบาท และ 3) มันสำปะหลังได้รับความเสียหายประมาณ 12.8 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายประมาณ 30,592 ล้านบาท

ความสามารถในการทำกำไรของโรงสีมีแนวโน้มจะลดลงจากภัยแล้งที่คาดว่าจะรุนแรงในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งจะทำให้ผลผลิตข้าวเสียหาย ทำให้อุปทานข้าวในตลาดมีจำกัด ส่งผลให้โรงสีมีต้นทุนรับซื้อของข้าวเปลือกจากเกษตรกรเพิ่มขึ้น แต่ราคาขายส่งข้าวสารที่โรงสีขายกลับปรับเพิ่มได้ไม่มากนัก เนื่องจากถูกกดดันจากการแข่งขันในตลาดส่งออก เพราะข้าวไทยยังมีต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดีย โดยในปี 2567 คาดว่าวัตถุดิบข้าวเปลือกที่ป้อนเข้าสู่โรงสีจะลดลงราว 8.6% ตามปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกที่ลดลงทั้งประเทศ อีกทั้งยังทำให้ต้นทุนรับซื้อข้าวเปลือกจะเพิ่มขึ้น 10.3% จาก 8,984 บาทต่อตัน ในปี 2565 เป็น 9,910 บาทต่อตัน ในปี 2567

ขณะที่ราคาขายส่งข้าวสารจะเพิ่มขึ้นเพียง 10.1% จาก 13,715 บาทต่อตัน ในปี 2565 เป็น 15,094 บาทต่อตันในปี 2567 และหากกำหนดให้ต้นทุนอื่น เช่น ค่าไฟและค่าขนส่งจะปรับลดลงตามต้นทุนพลังงานที่มีแนวโน้มลดลง ส่วนค่าแรงเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล ขณะที่ค่าหยงคงที่

โดยเมื่อพิจารณาจากตัวอย่างผู้ประกอบการที่เป็นโรงสีรายใหญ่ซึ่งมีกำลังการผลิตข้าว 1,000 ตันข้าวเปลือก/วัน คาดว่าในปี 2567 โรงสีดังกล่าวจะมีอัตรากำไรเหลือ 2.6% จาก 3.0% ในปี 2565 (ปีปกติที่ยังไม่เกิดเอลนีโญ) อย่างไรก็ตามยังเป็นอัตรากำไรที่สูงกว่าในช่วงปี 2558-2559 ที่เกิดเอลนีโญรุนแรง ซึ่งทำให้ในปีดังกล่าวโรงสีมีอัตรากำไรเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 1.6%