ไฟเขียว! ขึ้นราคาปุ๋ยได้ตามต้นทุนจริงที่สูงขึ้น

432
0
Share:

นายเทพวิทย์​ เตียวสุรัตน์กุล​ อุปนายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย ​กล่าวว่า สถานการณ์ราคาปุ๋ยปรับตัวสูงขึ้นมาก ​โดยราคาปุ๋ยยูเรียจากตะวันออกกลาง​ ราคาเอฟโอบีไม่รวมค่าเรือ อยู่ที่ตันละ ​960-1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ปุ๋ย​ 18-46-0 ที่นำมาผลิตวัตถุดิบแม่ปุ๋ย​ NPK ตันละ​ 1,100-1,200 ดอลลาร์สหรัฐ และ​สูตร ​0-0-60 โปแตส ​อยู่ที่ตันละ 950-1,000 ดอลลาร์สหรัฐ

อุปนายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย ​กล่าวต่อไปว่า การอนุญาตให้ปรับราคาตามต้นทุน ทำให้เอกชนมีความมั่นใจในการนำเข้าปุ๋ยมากขึ้น และเชื่อว่าปุ๋ยจะไม่ขาดตลาด ดังนั้น ประเมินว่า ในช่วงฤดูกาลเพาะปลูก 4 เดือน​ พฤษภาคม-สิงหาคมนี้ ความต้องการใช้ปุ๋ยจะอยู่ที่ ​2.5 ล้านตัน

ด้านนายวัฒนศักดิ์​ เสือเอี่ยม​ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับ​ 3 สมาคม​ผู้ผลิต​ ผู้จำหน่ายและนำเข้าปุ๋ยเคมี​ ประกอบด้วย​ สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย และสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร เพื่อประเมินปริมาณปุ๋ยเคมี และหาแนวทางเตรียมความพร้อมสำหรับฤดูกาลเพาะปลูกเดือนพฤษภาคม​นี้ โดยปริมาณปุ๋ยที่มีอยู่ในขณะนี้​ ซึ่งเอกชนยืนยันว่ามีเพียงพอต่อการผลิตใน 2-3 เดือนนี้​ และจะมีการสั่งนำเข้าเพิ่มเติมเป็นระยะ​ ตั้งแต่ปุ๋ยสูตรหลัก​ เช่น ยูเรีย​โปรแตส และฟอสเฟส เพื่อเตรียมไว้ให้เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตระบุว่า การนำเข้าปุ๋ยขณะนี้มีอุปสรรคจากสงครามยูเครนและรัสเซีย ทำให้ต้องหาปุ๋ยจากแหล่งใหม่ทดแทน ขณะเดียวกัน ต้นทุนในด้านต่างๆ ก็สูงขึ้นด้วย เพราะหลายประเทศมีการสำรองปุ๋ยไว้ในประเทศ เพื่อความมั่นคงทางอาหาร​

นอกจากนี้ ประเทศอินเดียก็เตรียมเปิดประมูลซื้อปุ๋ย ยิ่งเป็นปัจจัยกดดันราคาปุ๋ยสูงขึ้นในตลาดโลก​ ดังนั้น กรมการค้าภายในจะพิจารณาการปรับราคาปุ๋ย เพื่อให้สะท้อนต้นทุน และป้องกันปุ๋ยขาดแคลน ซึ่งเอกชนสามารถยื่นขอปรับราคามาได้ โดยกรมการค้าภายในจะพิจารณาจาก​ 3 ปัจจัย คือ เกษตรกรไม่แบกรับภาระเกินไป ผู้ประกอบการสามารถประกอบธุรกิจอยู่ได้ และต้นทุนที่เกิดขึ้นไม่กระทบต่อประชาชน และหากพบว่ามีผู้แทนจำหน่ายรายใดฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาปุ๋ยก่อนที่กรมการค้าภายในอนุมัติ สมาคมฯ จะตัดจากการเป็นผู้แทนจำหน่ายทันที