2 ค่ายยักษ์ใหญ่พลังงานโลกเจ้าของเอสโซ่กับคาลเท็กซ์ จ่อควบธุรกิจดีลกว่า 4 ล้านล้านบาท

852
0
Share:
2 ค่ายยักษ์ใหญ่พลังงานโลกเจ้าของ เอสโซ่ กับ คาลเท็กซ์ จ่อควบธุรกิจดีลกว่า 4 ล้านล้านบาท

เอ็กซ่อน โมบิล คอร์ปอเรชั่น และเชฟรอน คอร์ปเรชั่น ซึ่งบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ระดับโลกในสหรัฐอเมริกา และเป็นเจ้าของปั้มน้ำมันชื่อดังที่รู้จักกันดีทั้งเอสโซ่ และคาลเท็กซ์ตามลำดับ เปิดเผยว่า ผู้บริหารระดับสูงสุดของทั้ง 2 บริษัทมีการเจรจาหารือการควบรวมกิจการทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยการ โดยมูลค่ารวบรวมสูงถึง 114,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4.2 ล้านล้านบาท

การเจรจากันเพื่อควบรวมกิจการระหว่างเอ็กซ่อน โมบิล คอร์ปอเรชั่น และเชฟรอน คอร์ปเรชั่น กลายเป็นสัญญาณที่วงการอุตสาหกรรมพลังงานโลกประเมินว่าอุตสาหกรรมพลังงานมาถึงจุดที่สรุปได้ว่า การผลิตน้ำมันที่เคยคล่องตัวและต้นทุนที่แข่งขันได้นั้นได้หมดลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเอ็กซ่อน โมบิล คอร์ปอเรชั่น ที่มีกำลังการผลิตน้ำมันดิบลดลงใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่หลังจากซื้อกิจการบริษัทโมบิล คอร์ปอเรชั่น มาเมื่อ 20 ปีผ่านมา โดยในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ มีกำลังการผลิตน้ำมันดิบเฉลี่ยลดลงมาเหลือที่ 3.69 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ รายได้จากอุตสาหกรรมเคมีของเอ็กซ่อน โมบิล คอร์ปอเรชั่น ทรุดต่ำลงมากถึง 70% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปีนี้

ในขณะที่บริษัทเชฟรอน คอร์ปอเรชั่น ต้องเผชิญปัญหาและข้อจำกัดมากมายในโครงการลงทุนด้านพลังงานใหญ่มีชื่อว่าเท็งกิสในประเทศคาซัคสถาน เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีมูลค่าถึง 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.67 ล้านล้านบาท ได้เกิดความล่าช้า และมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเดิมที่ประเมินไว้ รวมถึงโครงการแอ่งพลังงานเพอร์เมียนในตะวันตกของรัฐเท็กซัส และนิว เม็กซิโก

นายแดน พิกเคอร์ริง ด้านผู้เชี่ยวชาญวงการผลิตน้ำมันจากเชลก๊าซในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวของทั้ง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมฟอสซิลที่นำมาผลิตน้ำมัน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น เทคโนโลยี

เอ็กซ่อน โมบิล คอร์ปอเรชั่น และเชฟรอน คอร์ปเรชั่น ซึ่งบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ระดับโลกในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า เมื่อตลาดหุ้นนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ปิดทำการเมื่อชวงเย็นวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคมผ่านมา พบว่าราคาหุ้นร่วงลงอย่างมากถึง -1.9% และ -7.0% ตามลำดับ ท่ามกลางราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้นถึง 3% จากความกังวลมากขึ้นกับสถานการณ์อิสราเอลกับกลุ่มฮามาสติดอาวุธ

ทั้ง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ทุ่มเงินลงทุนในกิจการน้ำมันผลิตจากซากฟอสซิลในช่วง 4 ปีผ่านมา แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แหล่งปริมาณน้ำมันดิบใหม่ๆ กลับไม่ได้มีเพิ่มขึ้นมากมาย ในเวลาเดียวกัน การสำรวจแหล่งผลิตน้ำมันดิบจากทะเลมีค่าใช้จ่ายที่แพงมากขึ้น และไม่สามารถคาดการณ์ผลการสำรวจได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ แหล่งผลิตน้ำมันดิบจากทรัพยากรธรรมชาติที่เรียกว่าเชลก๊าซในสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับการเติบโตด้านการผลิตที่ลดลง หลังจากแหล่งเชลก๊าซที่มีคุณภาพดีที่สุดได้ถูกผลิตไปแล้วเป็นจำนวนมาก

ย้อนกลับไปในช่วง 1-2 ปีผ่านมา เอ็กซ่อน โมบิล คอร์ปอเรชั่น และเชฟรอน คอร์ปเรชั่น ได้ผลกำไรพุ่งทะยานเป็นประวัติศาสตร์หรือนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา สาเหตุจากราคาพลังงานโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ และราคาน้ำมันสำเร็จรูปพุ่งทะยานมีราคาสูงอย่างมาก ส่งผลไปถึงราคาหุ้นของทั้ง 2 บริษัทดังกล่าวมีราคาปิดพุ่งทำสถิติเป็นประวัติการณ์มากกว่ากำไรของทั้งอุตสาหกรรมพลังงานในสหรัฐด้วย

ด้วยเหตุนี้ เอ็กซ่อน โมบิล คอร์ปอเรชั่น ได้ใช้เงินซื้อบริษัทพลังงานขนาดกลางถึงขนาดเล็ก โดยเมื่อ 2 สัปดาห์ผ่านมา ประกาศซื้อกิจการบริษัทไพโอเนียร์ เนเชอร์รัล รีซอร์สเซส มากถึง 62,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2.3 ล้านล้านบาท เพื่อเป็นผู้นำการผลิตพลังงานในโครงการแอ่งพลังงานเพอร์เมียนในตะวันตกของรัฐเท็กซัส และนิว เม็กซิโก สอดคล้องกับ เชฟรอน คอร์ปเรชั่น ใช้เงินซื้อกิจการบริษัท เฮสซ์ คอร์ปอเรชั่น มูลค่า 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.93 ล้านล้านบาท เพื่อเข้าไปลงทุนในโครงการผลิตน้ำมันดิบในประเทศกายอานาในอเมริกาใต้ มูลค่าการซื้อกิจการของทั้ง 2 คู่ดังกล่าวได้สร้างสถิติในอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันดิบที่มีมูลค่ามากที่สุดในรอบ 8 ปี

ทั้งนี้ การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ การซื้อกิจการที่มีมูลค่าสูงมากมาย รวมถึงกำลังการผลิตน้ำมันดิบที่ตกต่ำในรอบหลายปี จึงกลายเป็นความท้าทายของทั้งเอ็กซ่อน โมบิล คอร์ปอเรชั่น และเชฟรอน คอร์ปเรชั่น ซึ่งบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ระดับโลกในสหรัฐอเมริกา ที่จะอยู่รอดอย่างยั่งยืนในอนาคตต่อไป