“NOBLE” โกยยอดขายปี 65 ทะยานสู่เรคคอร์ดไฮแตะ 17,400 ล้านบาท โชว์รายได้รวมไตรมาส 4/65

261
0
Share:
โนเบิล "NOBLE" โกย ยอดขาย ปี 65 ทะยานสู่เรคคอร์ดไฮแตะ 17,400 ล้านบาท โชว์รายได้รวมไตรมาส 4/65

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) “บริษัทฯ” เปิดเผยว่า จากภาพรวมการฟื้นตัวเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงไตรมาส4/2565 ที่ผ่านมา ส่งผลตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวตามกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งบริษัทฯ ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการที่อยู่อาศัย ในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้รับอานิสงส์จากกำลังซื้อที่กลับมา โดยจะเห็นจากความสำเร็จในการขายโครงการของบริษัทฯ ทำให้ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/2565 กลับมาเทิร์นอะราวด์อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมที่ 3,946 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 141% (YoY) และกำไรสุทธิอยู่ที่ 338 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 9,185% (YoY) ซึ่งสาเหตุหลักๆมาจากมีการส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ทั้งหมด 5 โครงการ ซึ่งได้มีการทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 3-4/2565 ได้แก่ 1.) โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 2.) โครงการนิว ศรีนครินทร์-ลาซาล 3.) โครงการโนเบิล อราวน์ อารีย์ 4.) โครงการ นิว งามวงศ์วาน และ 5.) โครงการ นิว เซ็นเตอร์ บางนา ส่งผลให้ในปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมที่ 8,678 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 455 ล้านบาท

ขณะที่ยอดขาย (Pre-sale) ในปี 2565 ที่ผ่านมา เติบโตทะยานแตะระดับ 17,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (Record High) ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯมา หรือเติบโต 117% (YoY) สอดคล้องกับภาพรวมของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคกลับมา ส่งผลดีต่อ Sentiment ทั้งลูกค้าในกลุ่มที่เป็นซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) และลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน โดยทั้ง 11 โครงการที่บริษัทฯ เปิดตัวใหม่ มูลค่าโครงการรวม 31,550 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นปี 2565 ในมือรวมมูลค่าประมาณ 19,627 ล้านบาท และมียอดโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) ที่คาดว่าจะสามารถส่งมอบในปี 2566 ได้จำนวน 11,391 ล้านบาท ซึ่งจะรองรับการขายและการโอนกรรมสิทธิ์เพื่อสร้างการรับรู้รายได้รวมถึงผลตอบแทนที่ดีในปี 2566 อีกด้วย

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมามีมติอนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิงวดปี 2565 เพื่อจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.20 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราผลการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) ที่ 60.2% โดยบริษัทฯ จะนำเสนอเข้าประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันที่ 27 เมษายน 2566 เพื่อทำการอนุมัติและกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 โดยจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการต่อยอดธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์และบริการหลังการขายอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้าง synergy กับธุรกิจหลัก โดยจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ 1.) บริษัท เซิร์ฟ โซลูชั่น จำกัด 2.) บริษัท เซิร์ฟ เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด และ 3.) บริษัท เซิร์ฟ พีเอ็ม จำกัด

นายธงชัย กล่าวอีกว่า “สำหรับในปี 2566 บริษัทฯ เชื่อว่า Sentiment จะยังคงฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะปัจจัยการเปิดประเทศของจีน จะทำให้ความต้องการจากลูกค้าชาวจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) และสินค้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเพื่อรองรับผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยทั้งแบบอยู่อาศัยเองหรือเพื่อลงทุนได้มากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคชาวจีนในประเทศไทยเปลี่ยนไป โดยหันมานิยมซื้อที่อยู่อาศัยแบบสร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้วมากขึ้นเพราะสามารถเห็นโครงการจริง อีกทั้งยังมีความต้องการห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการอยู่อาศัยเองทั้งครอบครัวจากเดิมที่นิยมซื้อเพื่อการลงทุน

ส่วนแผนปี 2566 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 23,300 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise จำนวน 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 13,400 ล้านบาท และโครงการประเภทแนวสูงจำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,900 ล้านบาท โดยโครงการทั้งหมดจะกระจายตัวอยู่ทุกทิศของกรุงเทพฯ ทั้งนี้ จากการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจประกอบกับ Backlog ที่มีในมือ รวมถึงโครงการแนวราบที่จะเปิดตัวในปี 2566 ที่สามารถรับรู้รายได้ทันที และมีโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) ในทำเลที่มีศักยภาพ จะส่งผลให้ทิศทางการดำเนินงานในปี 2566 ของบริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะเห็นการเติบโตของรายได้รวมที่ระดับ 15,000 ล้านบาท และยอดขายที่ระดับ 23,000 ล้านบาท