ทำไมนักลงทุนมองหุ้นไทยดิ่งเหว เพราะ ‘Short Selling’ เป็นตัวการใหญ่ แล้วเมื่อไรหุ้นไทยจะฟื้น หนีตลาดหมี วิ่งทะยานสู่ตลาดกระทิงได้สักที??

1184
0
Share:

ทำไมนักลงทุนมอง หุ้นไทย ดิ่งเหว เพราะ ‘Short Selling’ เป็นตัวการใหญ่ แล้วเมื่อไรหุ้นไทยจะฟื้น หนี ตลาดหมี วิ่งทะยานสู่ตลาดกระทิงได้สักที??

เชื่อว่าในแวดวงของการลงทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยจะได้เห็นกระดานเทรดขึ้นแดง ปิดร่วงปิดลบอยู่จนชินตา จนนักวิเคราะห์ได้เอ่ยคำนิยาม “ภาวะตลาดหมี” ได้อย่างเต็มปาก เมื่อช่วงไม่นานมานี้เอง เพราะดัชนีหุ้นไทยตกลงมาแล้วถึงประมาณ 15% และถ้าจนถึงสิ้นปีหุ้นยังไม่ดีขึ้น ปี 66 จะเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 15 ปี นับจากปี 51 ที่หุ้นไทยตกลงมาหนักถึง 47.5% เนื่องจากวิกฤตซับไพร์ม และเป็นตลาดหุ้นที่ “ตกหนักที่สุดในโลก” ในปีนี้ ซึ่งก็พูดได้ว่าตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในภาวะ “ตลาดหมี” นั่นเอง

โดยตลาดขาลง หรือที่เรียกว่า ‘ตลาดหมี’ นั้น เป็นช่วงเวลาที่ราคาหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยนิยามของตลาดหมีคือขาลง ห่างจากจุดเริ่มต้นหรือมากกว่านั้น สาเหตุก็อย่างเช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงมุมมองของนักลงทุน หรือวิกฤตการณ์ทางการเงินอย่างเช่นตลาดหมีในปี 2551–2552 ที่มีสาเหตุหลักมาจากวิกฤตการเงินโลก ในช่วงต้นปี 2563 ตลาดหมีที่เกิดจาก COVID–19 ก็เป็นผลจากปัญหาหลายๆ อย่างรวมกันเช่นภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจและความกังวลของนักลงทุน ในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มเป็นขาลง หุ้นมักจะมีมูลค่าลดลง กิจกรรมการซื้อขายอาจลดลง และความไม่แน่นอนของตลาดมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น

แต่ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ คงหนีไม่พ้น ‘Short Selling’ หรือการขายชอร์ตหุ้น ที่ยังคงถกเถียงกันอยู่ไม่เลิกว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยย่ำแย่มากที่สุดในโลก

ซึ่ง Short Selling คือการขายหุ้นโดยที่ตัวเองไม่ได้ถืออยู่ในมือแต่แรก แต่สามารถทำได้โดยการขอยืมหุ้นจากผู้อื่นมาเพื่อขาย ก่อนจะซื้อหุ้นดังกล่าวกลับไปคืน แต่สิ่งที่น่ากังวลและส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘Naked Short Selling’ และเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับตลาดหุ้น โดย Naked Short Selling ถือเป็นการขายชอร์ตโดยที่มีการตัดกระบวนการ ‘ยืมหุ้น’ ออกไป เท่ากับว่าคนที่จะขายชอร์ตแบบ Naked สามารถทำได้ง่ายกว่า เพียงแค่มีวงเงินในบัญชีมากเพียงพอ ความง่ายจึงทำให้มีผลต่อตลาดทันทีเมื่อเกิดการ Naked Short Selling ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายในหลายประเทศ เพราะถือเป็นการบิดเบือนตลาด

ในตลาดหุ้นต่างประเทศ อย่างเช่นที่เกาหลีใต้เองก็ได้ตัดสินใจแบนการทำ Short Selling ชั่วคราว เพื่อตรวจสอบธุรกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติและที่ผิดกฎหมาย ซึ่งหน่วยงานกำกับของเกาหลีใต้ก็พบว่ามีการทำ Naked Short Selling จริงๆ ผ่านสองสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในเกาหลีใต้

และเหล่าบรรดานักลงทุนต่างก็ถกเถียงกันและคิดว่า Short Selling คือสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยดิ่งเหวแย่ที่สุดในโลก โดยหากย้อนกลับไปหุ้นไทยเคยอยู่ในระดับเกือบ 1,700 จุด ซึ่งทุกวันนี้ลงมาเหลือประมาณ 1,400 จุด หรือบางวันก็หลุด 1,400 จุดไปด้วยซ้ำ ร่วงลงมาจากอดีตดว่า 15–16%

เซียนหุ้นบางรายตั้งข้อสังเกตว่ามีการชอร์ตหุ้นบางตัวมากจนผิดปกติ บางวันค้านกับสิ่งที่ควรจะเป็นตามปัจจัยปกติ และเป็นที่น่าสังเกตด้วยนั่นก็คือวอลุ่มหรือมูลค่าการซื้อขายเบาบางลงมาก

สาเหตุอย่างหนึ่งจากการวิเคราะห์ของคุณพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร บอกว่าเหตุผลหลักที่ทำให้หุ้นไทยย่ำแย่กว่าประเทศอื่นๆ โดยรวมคือกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยที่แทบไม่เติบโตเลยตั้งแต่ปี 2556 และยังมองด้วยว่าที่จริงแล้ว Short Selling ไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้หุ้นไทยปรับตัวลง เพราะการทำ Short Selling เป็นการขายแล้วซื้อคืน แต่ Net Selling เป็นการขายและออกไปจากตลาดเลย

อย่างไรก็ตามตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. ก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าจากการตรวจสอบก็ไม่พบ Naked Short Selling จากการตรวจสอบธุรกรรมเป็นรายวันแบบเรียลไทม์

คุณภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าขอให้นักลงทุนมั่นใจว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ มีระบบการตรวจสอบในเรื่อง Short Sell ที่เข้มงวด

ล่าสุดก็ได้มีการเปิดข้อมูล short sell เพิ่มเติม ภายใต้เงื่อนไขราคาหุ้นบวกลบ 10% และมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน

คุณรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานกฎหมาย และหัวหน้ากลุ่มงานเลขานุการองค์กรและกำกับองค์กร ตลท. กล่าวว่าล่าสุดเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการเผยแพร่ข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน หลังเกิดความไม่เชื่อมั่นและทำให้นักลงทุนรายย่อยมองว่าเสียเปรียบนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนต่างชาติ กรณีการทำ Short Sell ซึ่งข้อมูลสำคัญที่ผู้ลงทุนให้ความสนใจ ทั้งข้อมูลเดิมที่เผยแพร่อยู่แล้ว ได้แก่ ธุรกรรมขายชอร์ต (Short Selling) และใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (NVDR: Non-Voting Depository Receipt) รวมทั้งข้อมูลที่เผยแพร่เพิ่มเติม คือ การส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นโดยใช้โปรแกรม (Program Trading) สรุปปริมาณการซื้อขายสิ้นวัน รวมถึงการสรุปคำสั่งซื้อขายหุ้นรายตัวโดยใช้โปรแกรม ภายใต้เงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นบวกลบร้อยละ 10 ขึ้นไป และมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป โดยเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET หรือ mai เพื่อดูความผิดปกติของราคาหุ้นที่มีการชอร์ตเซล ตลท.ก็เปิดให้นักลงทุนดูได้

โดยยังย้ำด้วยว่าขณะนี้ยังไม่พบการทำ Naked Short Selling หรือการยืมหุ้นมาขายโดยที่ไม่มีหุ้นอยู่ในครอบครอง หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า ‘จับเสือมือเปล่า’ นั้น ไม่มี

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ออกมายืนยันว่าได้ตรวจสอบการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบธุรกรรมการขายชอร์ตที่ไม่มีการยืมหลักทรัพย์ (Naked Short) ที่เป็นประเด็นกังวลในปัจจุบันด้วย ซึ่งก็ไม่พบความผิดปกติเช่นกัน

หรือแม้แต่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้ออกมาปฎิเสธว่าภาครัฐไม่ได้มีส่วนหรือเข้าไปแทรกแซงตลาดหุ้นอย่างแน่นอน

แต่หลังจากที่สองหน่วยงาน และนายกฯ เศรษฐาออกมารีแอคชันแล้ว ก็ดูจะไม่มีผลอะไรมากนัก เพราะหุ้นไทยในรอบ 1–2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แทบไม่มีอะไรดีขึ้นเท่าไร Sentiment ตลาดยังลบมากกว่าบวก ดัชนีแกว่งตัวลงเป็นส่วนใหญ่ในกรอบระหว่างง 1,380–1,420 จุด ขณะเดียวกันด้านกลุ่มนักลงทุนรายย่อย ก็ได้แสดงความกังวลว่าอาจจะมีการแทรกแซงของบรรดารายใหญ่ที่เป็นตัวการทุบหุ้นไทยอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะการทำธุรกรรม “ขายชอร์ต” หรือการ “จับเสือมือเปล่า” ที่ซ้ำเติมตลาดหุ้นไทยอยู่ตอนนี้

แน่นอนว่าขณะนี้ตลาดหุ้นไทยยังไร้ความเชื่อมั่นจากนักลงทุน โดยนักลงทุนรายย่อยยังได้ประกาศที่จะนัดกันหยุดเทรดหุ้นในวันที่ 20 พ.ย.นี้ จากเหตุผลข้างต้น จึงทำให้สัปดาห์หน้า ยังจะต้องจับตาว่าจะมีผลอย่างไรต่อตลาดหุ้นไทย

นอกจากความสงสัยเรื่องการขายชอร์ต ก็คงต้องตั้งคำถามกันแล้วว่า เมื่อไรตลาดหุ้นไทยจะหลุดพ้นจากภาวะนี้ และจะออกจากตลาดหมี เข้าสู่ตลาดกระทิงได้หรือไม่ เพราะเชื่อว่านักลงทุนหลายคนคงจะไม่ไหวกับแรงสวิง ขึ้นแรง ดิ่งหนักกับหุ้นไทยเกือบทุกวันนี้ ความหวังที่หุ้นไทยจะเข้าใกล้ 1,700 จุดอีกครั้งจะยังมีอยู่บ้างไหม…

BTimes