กล้าถอดแมสก์ยัง? เมื่อกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประกาศดีเดย์ 1 กรกฎาคมนี้ เตรียมปลดให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น

715
0
Share:

กล้าถอดแมสก์ หน้ากากอนามัย ยัง? เมื่อกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประกาศดีเดย์ 1 กรกฎาคมนี้ เตรียมปลดให้ โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น

หลังจากที่ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับจุดพีคของยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาหลายต่อหลายครั้งในระยะเวลาเกือบ 3 ปี แต่ในอีกไม่ถึง 1 เดือน ประเทศไทยจะได้รับการปลดแอกจากการถูกบังคับให้สวมใส่หน้ากากอนามัยกันเสียที

โดยทาง สธ. เตรียมผ่อนคลายมาตรการให้ประชาชนเริ่มถอดหน้ากากอนามัยได้ นำร่องก่อนใคร 31 จังหวัด คือ พื้นที่สีฟ้า 17 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ กาญจนบุรี จันทบุรี ชลบุรี เชียงใหม่ เชียงราย นครราชสีมา นนทบุรี นราธิวาส ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ พังงา เพชรบุรี ภูเก็ต ระยอง สงขลา และพื้นที่สีเขียว 14 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท พิจิตร อ่างทอง น่าน มหาสารคาม ยโสธร นครพนม ลำปาง อำนาจเจริญ บุรีรัมย์ ตราด สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ อุดรธานี

คำถามคือคนไทยส่วนใหญ่พร้อมหรือยังสำหรับความอิสระในครั้งนี้ ที่ดูแล้วภาพรวมอาจเหมือนว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดกำลังจะดีขึ้น ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่ในระดับที่วางใจได้ เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังอยู่ในหลักพัน มิหนำซ้ำยังมีโรคระบาดใหม่ที่สร้างความน่ากังวลใจอยู่ไม่น้อย อย่างโรคฝีดาษลิงหรือฝีดาษวานร ที่ล่าสุด สธ. ได้รับรายงานจากออสเตรเลียว่าพบผู้ป่วยจำนวน 1 ราย ที่เดินทางจากยุโรปไปออสเตรเลีย โดยแวะต่อเครื่องที่ไทย และมีอาการเมื่อถึงประเทศปลายทางแล้ว มีผลให้กรมควบคุมโรคสั่งเฝ้าระวังผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยบนเครื่องอีกจำนวน 12 ราย อีกทั้งยังสั่งติดตามงานเทศกาลไพรด์พาเหรดที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า เหตุเพราะกังวลว่านักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมงานอาจมีเชื้อฝีดาษลิงติดมา จนส่อแววว่าประเทศไทยไข่จะแตก

แต่ถ้าฟังดูแล้วสำหรับประเทศที่มีความกังวลใจในทุกอย่างเป็นทุนเดิมอย่างคนไทย ส่วนใหญ่อาจจะยังกล้าๆ กลัวๆ ซึ่งสาเหตุอาจเพราะเข็ดหลาบจากการแพร่ระบาดรุนแรงหลายครั้งหลายครา จนหวาดระแวงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เพราะทุกครั้งที่สถานการณ์เหมือนจะดีขึ้น ส่งผลให้ผู้คนต่างอยากออกมาใช้ชีวิตหลังจากถูกกักขังมาเป็นเวลานาน จนเป็นเหตุให้เกิดเป็นคลัสเตอร์ใหญ่หลายต่อหลายครั้งจากการคลายล็อก แต่ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปีที่คนไทยต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเลวร้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นี้ หลายคนพลาดหลายโอกาสในชีวิต และถึงแม้บางคนจะสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ แต่ถ้าเลือกได้ก็เชื่อว่าทุกคนในโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะแค่คนไทย ที่อยากให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

โลกใจร้ายกับมนุษย์มามากพอแล้ว ขอโอกาสให้มนุษย์ได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอย่างเดิมเสียทีเถิด เพราะถึงแม้โรคระบาดนี้จะหมดไป แต่วิบากกรรมของมนุษยชาติยังไม่จบ เพราะต้องต่อสู้กับปัญหาปากท้องอันเกิดจากผลกระทบของสงคราม โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดในตอนนี้คงหนีไม่พ้นราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องทั่วโลก เรียกได้ว่าหนีเสือปะจระเข้ เดือดร้อนจากโรคระบาดไม่พอ ยังต้องมาเดือดร้อนจากพิษเศรษฐกิจกันทั่วทุกหย่อมหญ้าจริงๆ

ก็หวังว่าการประกาศผ่อนคลายให้สามารถถอดหน้ากากอนามัยได้ในครั้งนี้ จะเป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยได้อีกครั้ง หลังจากที่เงียบเหงาซบเซามานานเหลือเกิน

ทีมงาน BTimes ก็ขอส่งกำลังใจให้ลูกเพจทุกคนสู้กันอีกสักตั้ง เพราะเชื่อว่าแสงสว่างปลายทางที่ทุกคนเฝ้ารอกำลังใกล้ความจริงแล้ว สู้ต่อไปอย่าย่อท้อนะคะ เราจะก้าวผ่านมันไปด้วยกันค่ะ

BTimes