ฝันให้ไกล! กรมควบคุมโรควาดฝันประกาศโควิด-19 สิ้นสุดเป็นโรคประจำถิ่นในปีนี้

432
0
Share:
โควิด

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงแผนรับมือการระบาดโรคโควิด-19 ของประเทศไทย โดยเฉพาะการประกาศให้โควิด-19 จากสถานะโรคระบาด (Pandemic) กลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) ว่าเมื่อมีการระบาดระลอกใหม่ด้วยเชื้อโอไมครอน ที่ความรุนแรงน้อย อัตราตายต่ำแต่เชื้อแพร่ได้เร็ว ทางกรมควบคุมโรค จึงพิจารณาว่าเตรียมให้การระบาดครั้งนี้เข้าสู่โรคประจำถิ่น (Endemic) ได้แล้ว

เนื่องจาก 1.เชื้อลดความรุนแรง 2.ประชาชนร่วมมือฉีดวัคซีน มีภูมิคุ้มกันค่อนข้างดี 3.การบริหารจัดการ ดูแลรักษา และการชะลอการระบาดได้อย่างดี

ดังนั้น ยุทธศาสตร์ปี 2565 คือ การชะลอการแพร่ระบาด การติดเชื้อไม่น่ากลัว แต่เรากลัวการแพร่ระบาดที่รวดเร็วเกินไป อาจทำให้ล้นโหลดระบบสาธารณสุข หรือเกิดเชื้อกลายพันธุ์ได้อีก ดังนั้น เราต้องชะลอการระบาด และค่อยๆ รับมือ อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อที่อาการไม่รุนแรง เราก็จะวางมาตรการดูแลในการแพทย์ การสาธารณสุขต่อไป

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยังกล่าวถึงแผนรับมือการระบาดโรคโควิด-19 ในระยะต่อไป ว่า แบ่งเป็น 4 มาตรการหลัก ได้แก่

1.มาตรการสาธารณสุข ใช้แนวทางการชะลอการระบาด เพื่อให้ระบบสาธารณสุขดูแลทุกคนได้ เพิ่มวัคซีนเข็มที่ 3 หรือเข็มที่ 4 ยืนยันว่า วัคซีนมีคุณภาพและมีความเพียงพอ ตรวจ ATK จึงต้องขอความร่วมมือประชาชนตรวจคัดกรองตัวเอง หรือเข้ารับการตรวจที่คลินิก สถานพยาบาลได้ และติดตามเฝ้าระวังการกลายพันธุ์

2.มาตรการการแพทย์ เนื่องจากโรคไม่มีความรุนแรง จึงเน้นการดูแลมาใช้แบบแยกกักที่บ้าน (Home Isolation) และศูนย์พักคอยในชุมชน (Community Isolation)

โควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น เราต้องดูแลตัวเองจากที่บ้านได้ ถ้าเรายังต้องอยู่ในสถานพยาบาล ก็ยังเป็นโรคที่มีความร้ายแรง แต่ปัจจุบัน ถ้าโรคไม่แรง ก็ดูแลจากที่บ้านได้ ดังนั้น เราจะต้องมีระบบสนับสนุน ส่งยา เวชภัณฑ์ให้ผู้ติดเชื้อที่บ้านอย่างปลอดภัย มีระบบส่งต่อหากอาการรุนแรงได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

3.มาตรการสังคม ประชาชนยึดหลักป้องกันตัวเองสูงสุด (Universal Prevention) เลี่ยงการเข้าสถานที่ไม่ปลอดภัย ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องเคร่งครัดให้สถานบริการปลอดโควิด-19 (Covid free setting)

4.มาตรการสนับสนุน ด้านค่ารักษาพยาบาลและการตรวจหาเชื้อ

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวเกี่ยวกับโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ด้วยว่า ระยะการระบาดนี้ เราจะเน้นตรวจ ATK เป็นหลัก เรียกว่า ATK First เพราะเราศึกษาจากการใช้หลายล้านชิ้น พบว่า มีประสิทธิภาพ สามารถดักจับโควิด-19 ได้ดีมาก สามารถใช้ตรวจประจำได้ เพื่อป้องกันระบาด ต่อไปเราต้องใช้เป็นประจำ ทั้งหมดนี้ เป็นวิธีการที่ทำให้คนไทยทุกคนปลอดภัย ประเทศเดินต่อไปได้ หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน สธ.จะพยายามบริหารจัดการให้เป็นโรคประจำถิ่นให้ได้ในปีนี้

หากกลุ่มเสี่ยง หรือผู้มีอาการจะใช้การตรวจ RT-PCR สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายเพื่อความเหมาะสม ดังนั้น สธ.จึงอยากขอความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อก้าวข้ามการระบาดครั้งนี้ออกไป ให้เป็นโรคประจำถิ่นให้ได้ด้วยมาตรการ VUCA คือ Vaccine , Universal Prevention , Covid Free setting และ ATK

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนในไทย พบว่า เมื่อเวลา 15.00 น.ของวันนี้ 10 มกราคม 2565 ประเทศไทยประกาศพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์โอไมครอนสะสมแตะ 5,397 ราย โดยพบการระบาดขยายไปถึง 71 จังหวัด เหลือเพียง 6 จังหวัดที่ยังปลอดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าว ทำให้สายพันธุ์โอไมครอนมีการระบาด 35.2% ยังคงเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดเป็นอันดับ 2 รองจากเดลต้าที่ระบาดถึง 64.7%

จำนวนติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนสะสมของประเทศไทยที่ 5,397 รายดังกล่าว ส่งผลให้ประเทศไทยติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนขึ้นมาอยู่ในอันดับ 9 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 1 ของทวีปเอเชีย รวมถึงอยู่ในอันดับที่ 1 ของอาเซียน โดยแซงขึ้น 5 อันดับโลก ได้แก่ อิสราเอล 2,978 ราย อินเดีย 3,044 ราย สิงคโปร์ 3,592 ราย ออสเตรเลีย 3,665 ราย และเอสโทเนีย 3,758 ราย

ทั้งนี้ การติดเชื้อในภาพรวมทั้งประเทศไทยในรอบ 1 วันผ่านมา พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7,926 ราย รวมติดเชื้อสะสมเป็น 2,277,246 ราย อยู่อันดับ 25 ของโลก และมีผู้เสียชีวิตรายใหม่ 13 ราย รวมเสียชีวิตสะสมเป็น 21,838 ราย