กลุ่มปฏิรูปพลังงานเบรกสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ หลังกำลังผลิตสำรองสูงถึงระดับ 50%

1006
0
Share:

ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน (ERS) เปิดเผยว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาภาครัฐได้อนุมัติให้สร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มโดยมิได้ทบทวนแนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าในระยะยาวที่ลดลงอย่างเพียงพอ เนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวหลายช่วง
.
รวมทั้งการคาดการณ์ที่ต่ำเกินไปของการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบใช้เอง (Prosumer) ของภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน ผนวกกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เกิดปัญหากำลังผลิตสำรองสูงถึงระดับ 50% เป็นภาระต่อผู้บริโภค เนื่องจากระบบค่าไฟฟ้าเป็นแบบผ่านส่งต้นทุนเพราะการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าเข้าระบบสายส่งเพียงรายเดียว
.
ทั้งนี้ ERS มีข้อเสนอในหลากหลายมาตรการเพื่อลดผลกระทบในประเด็นดังกล่าว ดังนี้
.
1.ทบทวนหลักเกณฑ์ทางการเงินในการกำหนดค่าไฟฐาน เพื่อลดค่าไฟฐานและสร้างแรงจูงใจให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพมากกว่าระบบปัจจุบันที่รับประกันผลตอบแทน
.
2.ในส่วนของกำลังผลิตใหม่ให้เร่งเจรจาชะลอการลงทุนและเลื่อนกำหนดการเข้าสู่ระบบ (COD) ของหน่วยผลิตไฟฟ้าใหม่ โดยเฉพาะของเอกชนที่ได้รับอนุมัติโดยมิได้ผ่านการประมูล

3.ในส่วนของกำลังผลิตที่ติดตั้งไปแล้ว ให้ปรับระบบการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าในส่วนที่เรียกกันว่า Merit Order โดยจัดให้โรงไฟฟ้าต่างๆ ทั้งเอกชนและของรัฐแข่งกันเสนอราคาขายที่ต่ำที่สุด ซึ่งอาจจะต่ำกว่าค่าพลังงานที่เคยระบุไว้ในสัญญา 4.รัฐควรใช้เงื่อนไขตามสัญญาเพื่อลดหรือเจรจาลดการซื้อในส่วนที่เป็นสัญญาผูกมัด (Must take) และลดการจ่าย “ค่าความพร้อมจ่าย” ที่สามารถลดได้ และ5.ไม่ต่อใบอนุญาตที่ไม่จำเป็น
.
ด้านการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ( พีดีพี )ควรปรับปรุงกระบวนการให้ทันสมัย โปร่งใส และมีความยืดหยุ่น สะท้อนความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ให้เกิดการอนุมัติกำลังผลิตที่เกินความจำเป็นและเป็นปัญหาที่ยาวนาน และเพื่อวางแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จริงจังมากขึ้น ขณะเดียวกันควรเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้ได้พีดีพี ที่โปร่งใสและสมบูรณ์
.
ส่วนในระยะยาว หากปฏิรูปให้มีตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรี สถานการณ์กำลังผลิตสำรองล้นเกินจะทำให้ค่าไฟลดลงแทนที่จะสูงขึ้น ดังนั้นควรเปิดบริการสายส่ง สายจำหน่ายไฟฟ้าแก่บุคคลที่สาม (TPA) เช่นเดียวกับที่ได้มีการเปิด TPA ระบบท่อก๊าซธรรมชาติและคลังนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี)ไปแล้ว การแข่งขันตลอดสายจะทำให้ระบบมีทั้งความมั่นคงและได้ค่าไฟฟ้าที่ต่ำลงสำหรับผู้บริโภค กลุ่ม ERS จึงเสนอให้เตรียมการออกแบบตลาดไฟฟ้าที่มีทั้งการประมูลค่าพลังงานไฟฟ้า และการประมูลค่ากำลังการผลิตไฟฟ้าเพื่อป้องกันปัญหาค่าไฟพุ่งขึ้นสูงมากในช่วงขาดแคลน โดยมีเงื่อนไขการแบ่งภาระความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้ากับผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นช่วงกำลังผลิตสำรองเกิน หรือขาด หรือสมดุล
.
สำหรับด้านปิโตรเลียม ขอเร่งรัดให้พัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมของไทยก่อนที่จะด้อยค่า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ด้วย ได้แก่ การเปิดสัมปทานรอบ 23 การพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา รวมถึงการนำพื้นที่ภาคเหนือที่อยู่ใต้กรมการพลังงานทหารมาอยู่ภายใต้ พ.ร.บ. ปิโตรเลียม พ.ศ.2560 เพื่อนำผลประโยชน์มาเป็นรายได้ส่วนกลางของรัฐ
.
ขอเสนอให้ไทยกำหนดสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนต่อพลังงานโดยรวม ไม่ต่ำกว่า 50% โดยเร็ว เพื่อให้ไทยก้าวไปสู่การเป็นเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ ที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็น 0 (Carbon Neutral) ภายในปี ค.ศ. 2050 โดยการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด รวมทั้งนำระบบ Carbon Tax/Carbon Pricing มาใช้
.
ทั้งนี้ต้องเปิดเผยข้อมูลพีดีพี เช่น ต้นทุนของโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ทั้งเอกชนและ กฟผ. ข้อจำกัดในการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ข้อจำกัดของระบบสายส่งสาย รวมทั้งการวิเคราะห์ทางเลือกต่าง ๆ ในการจัดหาไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการลงทุนโดยรวมที่มีประสิทธิภาพ (Optimization) ระหว่างสายส่งสายจำหน่าย กับการสร้างโรงไฟฟ้าในการจัดทำแผน PDP และแผนการลงทุนในระบบสายส่งสายจำหน่าย นอกจากนี้การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ควรผ่านการประมูลแข่งขันด้านราคา โดยมีต้นทุนผันแปรของโรงไฟฟ้าหลักเป็นเพดาน