กสิกรชี้“ช้อปดีมีคืน”จะช่วยกระตุ้นการบริโภคได้เพียงชั่วคราว

691
0
Share:

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานถึงมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” เพื่อกระตุ้นการบริโภค โดยสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทว่า มีลักษณะเดียวกันกับโครงการช้อปช่วยชาติที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปี 2558-2561 ซึ่งได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี โดยมาตรการช้อปช่วยชาติในช่วงก่อนหน้านี้กำหนดวงเงินที่สามารถลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท
.
มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่ผู้มีรายได้ระดับปานกลางและรายได้สูง โดยคาดว่าน่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงไตรมาส 4/2563 ซึ่งหากมีผู้เสียภาษีเข้าร่วมโครงการ 1.85 ล้านคน จะส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 5.55 หมื่นล้านบาท
.
แต่หากมีผู้เสียภาษีเข้าร่วมโครงการ 4 ล้านคน จะส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 1.2 แสนล้านบาท ทั้งนี้ หากรวมกับมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมา ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคนละครึ่่ง และมาตรการเติมเงินสวัสดิการเพิ่มอีกเดือนละ 500 บาทให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงการทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยว จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2563 มีแนวโน้มดีขึ้นและหดตัวลดลงเมื่อเทียบกับ 2 ไตรมาสก่อนหน้า โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองเพิ่มเติมต่อมาตรการดังกล่าว ดังนี้
.
น่าจะช่วยให้เกิดการระบายสินค้าคงคลังที่มีอยู่สูง ท่ามกลางอุปสงค์ที่อ่อนแรงในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งจะช่วยผลักดันยอดขายและเพิ่มสภาพคล่องของผู้ประกอบการต่างๆ ให้ดีขึ้น นอกจากนี้ การจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ดี
.
ส่งผลให้ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น โดยในภาพรวมภาคค้าปลีกน่าจะได้รับผลประโยชน์จากมาตรการนี้มากที่สุด ในขณะที่ยอดใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นน่าจะส่งผลดีต่อภาคธนาคาร เนื่องจากยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตน่าจะขยายตัวมากขึ้น
.
นอกจากนี้ มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งระบบในปี 2563 หดตัวลดลงที่ -11% จากปีก่อน เมื่อเทียบกับหากไม่มีมาตรการที่ –12% จากปีก่อน และมาตรการนี้จะไม่กระทบสถานะทางการคลังในปัจจุบันเท่าใดนัก
.
แต่มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้เพียงชั่วคราว และคงมีผลประโยชน์ต่อการจ้างงานค่อนข้างจำกัด ขณะที่ผู้ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่น่าจะเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่อยู่ในระบบภาษี ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) อาจไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงเท่าใดนัก โดยจากเงื่อนไขเวลาที่กำหนดไว้ในช่วง 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 มาตรการดังกล่าวจึงน่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคได้เพียงในช่วงเวลาที่กำหนด
.
ขณะที่ผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่มีแผนซื้อสินค้าอยู่แล้ว แต่เป็นสินค้าที่ไม่รีบใช้ อาจชะลอการจับจ่ายออกไปก่อน เพื่อรอซื้อสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลให้การบริโภคในช่วงก่อนมาตรการนั้นลดลง นอกจากนี้ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวน่าจะกระตุ้นการบริโภคได้เพียงชั่วคราว
.
จึงทำให้ผู้ผลิตอาจจะยังไม่พิจารณากลับมาผลิตเพิ่ม หากอุปสงค์ยังไม่กลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ผลประโยชน์ต่อการจ้างงานคงมีจำกัด แต่จะได้ประโยชน์ในเรื่องการระบายสินค้าคงคลังและสภาพคล่องเป็นหลัก
.
นอกจากนี้ เนื่องจากผู้ประกอบการกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เช่น ร้านอาหารข้างทาง หรือร้านขายของชำขนาดเล็ก จำนวนมากไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่อยู่ในระบบภาษีน่าจะได้รับผลประโยชน์เป็นหลัก (แต่ร้านค้ารายย่อยเหล่านี้อาจได้ประโยชน์จากมาตรการ “คนละครึ่ง” ที่รัฐบาลให้วงเงินสมทบไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน)
.
ขณะที่การฟื้นตัวของการบริโภคหลังจากที่มาตรการหมดลงไปแล้วคงกลับมาขึ้นอยู่กับแรงขับเคลื่อนพื้นฐานของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยว รายได้จากการจ้างงาน และรายได้ภาคการเกษตร เป็นสำคัญ