กันยาทมิฬ! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดลงเหว 500 จุด น้ำมันดิบโลกปิดหลุด 88 ดอลลาร์

217
0
Share:
กันยาทมิฬ! ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดลงเหว 500 จุด น้ำมันดิบโลกปิดหลุด 88 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 28,725 จุด -500 จุด หรือ -1.71% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,585 จุด -54 จุด หรือ -1.51% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 10,575 จุด -161 จุด หรือ -1.51% ทำให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดหยุดระดับ 29,000 จุด เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี 11 เดือน หรือนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2020 เอสแอนด์พี 500 ทำสถิติปิดต่ำสุดครั้งใหม่ในรอบปี 65 ด้านดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 เดือนกันยายนกลายเป็นสถิติรายเดือนที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 2 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่มีนาคม 2020 เป็นต้นมา

ใน 2 วันทำการสุดท้ายติดต่อกัน ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ดำดิ่งรวมกัน -958, -132 และ -475 จุด ตามลำดับ

ในสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งดำดิ่งหนักมากถึง -2.9%, -2.9% และ -2.7% ตามลำดับ สำหรับในเดือนกันยายน พบว่าดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งดำดิ่งหนักมากถึง -8.8%, -9.3% และ -10.5% ตามลำดับ ส่งผลดัชนีหุ้นดาวโจนส์เป็นดัชนีหุ้นที่ตกต่ำย่ำแย่ในรอบเกือบ 2 ปี 6 เดือนหรือนับตั้งแต่มีนาคมปี 2020 ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 เป็นดัชนีหุ้นที่ตกต่ำย่ำแย่ในรอบ 3 เดือนหรือนับตั้งแต่มิถุนายนที่ผ่านมา และดัชนีหุ้นนาสแดคเป็นดัชนีหุ้นที่ตกต่ำย่ำแย่ในรอบ 5 เดือนหรือนับตั้งแต่เมษายนที่ผ่านมา

ที่สำคัญ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์เดือนกันยายนปี 65 กลายเป็นดัชนีดาวโจนส์เดือนกันยายนที่เลวร้ายที่สุดเมื่อเทียบกับในเดือนกันยายนเมื่อปี 2008 หรือตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2008 ขณะที่ดัชนีหุ้นนาสแดคเดือนกันยายนเข้าสู่ภาวะปรับฐานรายเดือน หรือ Correction

ในแง่รายไตรมาส พบว่า ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดิ่งลง -6.7% ร่วงเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ทำสถิติเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี หรือนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2015 ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ร่วง -5.3% ตกต่ำเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ทำสถิติเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2009 ซึ่งในช่วงเวลานั้น ดัชนีหุ้นดังกล่าวดำดิ่งถึง 6 ไตรมาสติดต่อกัน ส่วนดัชนีหุ้นนาสแดคกลับกระเตื้องขึ้นเบาบาง -4.1% ทำสถิติตกต่ำถึง 3 ไตรมาสติดต่อกัน เป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2009

ในแง่นับตั้งแต่ต้นปีมาถึงปัจจุบัน ดัชนีสำคัญทั้ง 3 แห่ง พบว่า ยังคงดำดิ่งอย่างรุนแรงมากถึง -20.02%, -23.48% และ -30.87% ตามลำดับ

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงระหว่างวันที่ 20-23 และวันที่ 26-27 กันยายนที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดต่ำสุดครั้งใหม่ตั้งแต่ต้นปีนี้ และปิดหลุดระดับ 30,000 จุดเป็นวันทำการที่ 3 ติดกัน นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นดังกล่าวหลุดระดับ 30,000 จุดในรอบ 3 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายนผ่านมา ที่สำคัญดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดดำดิ่งถึง -21.2% เมื่อเทียบกับสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงผ่านมา ทำให้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี หรือ Bear Market เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน

ด้านดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นวันที่ 2 ต่อเนื่อง และเข้าสู่ภาวะหมี หรือ Bear Market อย่างสมบูรณ์แบบถึง 2 วันติดกัน เนื่องจากดำดิ่งถึง -24.7% จากวันที่ 4 มกราคม 2565 ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกิดสถิติดัชนีหุ้นดำดิ่งในภาวะหมีนานที่สุดในรอบ 6 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2016 และมากที่สุดในรอบ 2 ปี 6 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020 รวมถึงยังปิดติดลบถึง 6 วันทำการติดต่อกันนานที่สุดในรอบ 2 เดือนกว่า หรือนับตั้งแต่ 1 กรกฎาคมผ่านมา ขณะที่ดัชนีหุ้นนาสแดคดำดิ่งมากถึง -33.2% จากสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สาเหตุจากนักลงทุนให้น้ำหนักปัจจัยลบเดิม ได้แก่ การเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ตัวเลขการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไปเดือนสิงหาคมของสหรัฐอเมริกาสูงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดยอยู่ที่ระดับ 0.3% เทียบกับเดือนกรกฎาคมในปีนี้ และเมื่อตัดราคาพลังงานและอาหารออกไป พบว่าตัวเลขดังกล่าวพุ่งขึ้น 0.6% ส่งผลให้ในแง่รายปีนั้น ตัวเลขการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไปและขั้นพื้นฐานเดือนสิงหาคมพุ่งทะยานถึง 6.4% และ 5.0% ตามลำดับ ซึ่งกดดันอย่างมากต่อแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างรุนแรงต่อไป

นอกจากนี้ การประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัทในดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา มีแนวโน้มชัดเจนว่าเป็นตัวเลขเติบโตที่ต่ำสุดในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2020 เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 2.9% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขที่ 5.7% เมื่อ 2 ปี ผ่านมา

ด้านรองประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด นางราเอล เบรนนาร์ด กล่างว่า นโยบายการเงิน หรือการใช้ดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะต้องตึงตัวไปอีกสักพัก เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกากลับเข้าสู่เป้าหมาย ด้วยเหตุผลดังกล่าว เฟดต้องหลีกเลี่ยงการถอนมาตรการดอกเบี้ยระยะสั้นที่เร็วเกินกำหนด นักวิเคราะห์ประเมินว่าอาจทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะขึ้นไปถึงระดับ 4.25-4.50% สิ้นสุดปีนี้ ที่สำคัญ เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวถึงระดับ 4.50-4.75% ในปี 2566

นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญอื่นๆ คือ ค่าเงินปอนด์สเตอริงของอังกฤษกลับถูกเทขายหนาตาครั้งหม่ถึงแม้ว่าธนาคารกลางอังกฤษประกาศใช้มาตรการเข้าซื้อพันธบัตรเพื่อแก้ปัญหาตลาดพันธบัตรตกต่ำอย่างรุนแรง และพยุงค่าเงินปอนด์สเตอริงที่ดำดิ่งเป็นประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี ย้อนกลับขึ้นสูงครั้งใหม่ หลังจากพุ่งขึ้นทำสถิติแตะ 4% สูงสุดในรอบ 20 ปีเมื่อคืนวานก่อนหน้านี้

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 79.49 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -1.74 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -2.1% ก่อนหน้านี้ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ 6 มกราคม หรือในรอบ 8 เดือน 2 สัปดาห์ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 87.96 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.53 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -0.6% ก่อนหน้านี้ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ 14 มกราคม หรือในรอบ 8 เดือน 2 สัปดาห์ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 ปรับเพิ่มขึ้น +1% และ +2% ตามลำดับ ส่งผลเป็นราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน หรือนับตั้งแต่สิงหาคมผ่านมา ในแง่รายไตรมาส พบว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทั้ง 2 แห่ง ดำดิ่งมากถึง -25% และ -23% ตามลำดับ

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐย้อนกลับแข็งค่าขึ้น ภาวะความต้องการใช้น้ำมันดิบตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากผลกระทบของเศรษฐกิจชะลอตัว และแนวโน้มกลุ่มโอเปกพลัสจะลดกำลังการผลิตในการประชุมวันที่ 5 ตุลาคมนี้

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,669.10 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +0.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.05%

ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำมีราคาใกล้เคียงสถิติราคาปิดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 4 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่อเมษายนปี 2020 เป็นต้นมา ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับแข็งค่าขึ้น และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะ 2 ปี และ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้นรอบใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้ทำสถิติครั้งใหม่ สะท้อนภาวะทำกำไรค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางความกังวลอย่างรุนแรงมากขึ้นกับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถดถอยรุนแรง